ยิ่งมีสิทธิมนุษยชนยิ่งมีความมั่นคงของชาติ

มายาคติอย่างหนึ่งของภาครัฐก็คือความเชื่อที่ว่า หากมีสิทธิมนุษยชนมากเท่าใดก็ย่อมที่จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคง
ของชาติมากขึ้นเท่านั้น จึงมีความพยายามที่จะออกมาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงกฎหมายที่มีบทบัญญัติละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยอ้างเหตุผลในด้านความมั่นคงของชาติอยู่เสมอ ซึ่งความเข้าใจดังว่านั้นแท้ที่จริงแล้วหาเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องไม่ ด้วยเหตุเพราะ สิทธิมนุษยชน คือสิทธิประจำตัวของมนุษย์ทุกคนที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนที่ต้องได้รับในฐานะที่เป็นมนุษย์ ซึ่งทำให้คนๆ นั้นมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความเหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์และสามารถมีการพัฒนาตนเองได้ สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนที่ต้องได้รับฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เพื่อทำให้คนๆ นั้นมีชีวิตอยู่รอดและมีพัฒนาการ
ระดับของสิทธิมนุษยชน
ระดับแรก เป็นสิทธิที่ติดตัวทุกคนตั้งแต่เกิด ไม่สามารถถ่ายโอนให้กันได้ อยู่เหนือกฎหมายและอำนาจใดๆ ของรัฐทุกรัฐ สิทธิเหล่านี้ได้แก่ สิทธิในชีวิต ห้ามฆ่าหรือทำร้ายชีวิต ห้ามการค้ามนุษย์ ห้ามการทรมานอย่างโหดร้ายทารุณ คนทุกคนมีสิทธิในความเชื่อ มโนธรรมหรือสิทธิทางศาสนา ทางการเมือง มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และแสดงออกหรือการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นใด สิทธิมนุษยชนเหล่านี้ไม่ต้องมีกฎหมายรับรอง สิทธิเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างน้อยก็คือมโนธรรมสำนึกในบาปบุญคุณโทษที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน เช่น หากแม้ว่าจะมีหรือไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการฆ่าคนเป็นความผิดตามกฎหมายก็ตาม แต่ทุกคนย่อมมีสำนึกรู้ได้เองว่า การฆ่าคนย่อมเป็นสิ่งต้องห้ามหรือเป็นบาปทางศาสนา
ระดับที่สอง เป็นสิทธิที่ต้องได้รับรองในรูปแบบของกฎหมาย หรือต้องได้รับการคุ้มครองโดยรัฐ ได้แก่ การได้รับสัญชาติ การมีงานทำ การได้รับการคุ้มครองแรงงาน ความเสมอภาคของหญิงชาย สิทธิของเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ การได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การประกันการว่างงาน การได้รับการบริการทางสาธารณสุข การสามารถแสดงทางวัฒนธรรมอย่างอิสระ สามารถได้รับความเพลิดเพลินจากศิลปวัฒนธรรมในกลุ่มของตน
สิทธิมนุษยชนระดับที่สองนี้ต้องเขียนรับรองไว้ในกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ หรือแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐแต่ละประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันว่าคนทุกคนที่อยู่ในรัฐนั้นจะได้รับความคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ที่ความเหมาะสมแก่การเป็นมนุษย์
ประเภทของสิทธิมนุษยชน
1) สิทธิพลเมือง ได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพและความมั่นคงในชีวิต ไม่ถูกทรมาน ไม่ถูกทำร้ายหรือฆ่า สิทธิในความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย สิทธิที่จะได้รับการปกป้องจากการจับกุมหรือคุมขังโดยมิชอบ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาในศาลอย่างยุติธรรมโดยผู้พิพากษาที่มีอิสระ สิทธิการได้รับสัญชาติ เสรีภาพของศาสนิกในการเชื่อถือ และปฏิบัติตามความเชื่อถือของตน ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการไม่นับถือศาสนาด้วย
2) สิทธิทางการเมือง ได้แก่ สิทธิในการเลือกวิถีชีวิตของคนเองทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมถึงการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก สิทธิในมีส่วนร่วมกับรัฐในการดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์สาธารณะ เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เสรีภาพในการรวมกลุ่ม สิทธิในการเลือกตั้งอย่างเสรี
3) สิทธิทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สิทธิการมีงานทำ ได้เลือกงานอย่างอิสระและได้รับค่าจ้างอย่างเป็นธรรม สิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน การได้รับอาหารที่เพียงพอแก่การยังชีพ
4) สิทธิทางสังคม ได้แก่ สิทธิการได้รับการศึกษา สิทธิการได้รับหลักประกันด้านสุขภาพ แม่และเด็กต้องได้รับการดูแล ได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างเต็มที่ ได้รับความมั่นคงทางสังคม มีเสรีภาพในการเลือกคู่ครองและสร้างครอบครัว
5) สิทธิทางวัฒนธรรม ได้แก่ การมีเสรีภาพในการใช้ภาษาหรือ สื่อความหมายในภาษาท้องถิ่นของตน มีเสรีภาพในการแต่งกายตามวัฒนธรรม การปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นของตน การพักผ่อนหย่อนใจทางศิลปวัฒนธรรมและการบันเทิงได้โดยไม่มีใครมาบีบบังคับ
พึงระลึกไว้เสมอว่า “สิทธิตามกฎหมาย” ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องสิทธิมนุษยชน มีสิทธิบางอย่างเท่านั้นถือว่าเป็นสิทธิมนุษยชน และสิทธิที่เป็นสิทธิมนุษยชนนั้น ถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติต่อกันระหว่างมนุษย์ เช่น การฆ่าหรือทำร้ายกัน แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า การทำร้ายหรือการฆ่าเป็นความผิด คนทุกคนก็รู้แก่ใจว่าการฆ่าเป็นความผิด แต่การที่คนในชาติไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอแก่การยังชีพ ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่งคือสิทธิทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดการให้คนในชาติได้รับอาหารเพียงพอแก่การมีชีวิตอยู่รอดฉะนั้น สิทธิมนุษยชนจึงเป็นของมนุษย์ทุกคนไม่จำเพาะแต่ฝรั่งมังค่า หรือจำเพาะตามกฎบัตรสหประชาชาติเท่านั้น
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ไม่มีส่วนใดเลยของสิทธิมนุษยชนที่จะไปกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติตามที่ภาครัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐหวั่นเกรง จนต้องออกมาตรการหรือกฎหมายความมั่นคง รวมถึงกฎอัยการศึกที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้อย่างมากมายมหาศาลแทบจะไม่มีขีดจำกัด ซึ่งแทนที่จะช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงกลับทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต
ในทำนองกลับกันยิ่งประเทศที่มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมากขึ้นเท่าใด ประชาชนยิ่งดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสงบสุขมากขึ้นเท่านั้นเพราะเมื่อมีสันติสุขประชาชนย่อมมีเวลาทำมาหากิน ความมั่นคงของชาติซึ่งไม่ได้มีเฉพาะแต่ความมั่นคงทางการเมืองหรือทางทหารเท่านั้น แต่รวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมด้วย ก็ย่อมมีความมั่นคงควบคู่กันไปกับสิทธิมนุษยชนมากยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกัน ใช่ไหมครับ







