ค่าความน่าจะเป็นของ Fed Fund Rate

ในช่วงที่ผ่านมา indicator หนึ่งที่น่าจะมีความสำคัญที่สุดและเป็นที่สนใจที่สุดของผู้คนในแวดวงการเงิน
ซึ่งเมื่อเวลามาถึงทุก ๆ คนล้วนต่างเฝ้าติดตามความเป็นไปอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการเฝ้าติดตามถ้อยแถลงที่ตามมาหลังการตัดสินใจครั้งใดครั้งหนึ่ง เพื่อตีความหา Keyword และ/หรือ Hint ที่สามารถนำไปสู่การตีความถึงการตัดสินใจในอนาคต
ท่านผู้อ่านเดาไม่ผิดครับ Indicator ที่ผมใคร่จะเขียนถึงในวันนี้ก็คือ Fed Fund Rate ที่กำหนดโดยคณะกรรมการ FOMC sหรือ Federal Open Market Committee (FOMC ซึ่งมีคณะกรรมการถึง 12 คน) ของ ระบบธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา (US Federal Reserve System) ซึ่ง Fed Fund Rate หรือ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง Prime Rate คือ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (ข้ามคืน) ระหว่างสถาบันการเงินในสหรัฐ กล่าวคือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารหนึ่งคิดกับอีกธนาคารหนึ่งในการกู้ยืมเงินระหว่างกันในระยะสั้น ในขณะที่ Discount Rate ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดย The Board of Governors of the Federal Reserve System (มี 7 คนเล็กกว่า FOMC) เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางเรียกเก็บจากสถาบันการเงิน กรณีที่สถาบันการเงินกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางโดยตรง หรือเรียกว่าการยืมผ่าน Discount Window
โดยปกติแล้ว Discount Rate จะมีอัตราที่สูงกว่า Fed Fund Rate ฉะนั้นในเวลาปกติสถาบันการเงิน หรือ ธนาคารส่วนใหญ่จะกู้ยืมกันเองมากกว่าที่จะมากู้โดยตรงจาก Fed เว้นแต่ในช่วงเวลาที่ผิดปกติอย่างเช่นเมื่อตอนวิกฤติ Subprime เมื่อปี 2550 ธนาคารแต่ละแห่งไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้ไม่ยอมให้กู้ยืมระหว่างกัน ซึ่งก่อให้เกิดสภาวการณ์ที่เรียกว่า “Credit Crunch” ทำให้มีธนาคารจำนวนหนึ่ง อาทิ Citigroup, JP Morgan Chase, Bank of America และ Wachovia ต้องทำการกู้ยืมเงินผ่าน Fed โดยตรงผ่าน Discount Window ข้างต้น
โดยปกติแล้ว ธนาคารจะยินดีที่จะกู้ยืมระหว่างกันในอัตรา Fed Fund Rate มากกว่า กู้โดยตรงจาก FED เป็นเหตุให้ Fed Fund Rate นี้ผลกระทบต่อระบบการเงินมากกว่า Discount Rate เพราะว่า อัตราดอกเบี้ยต่าง ๆ ที่ทางสถาบันการเงินจะเก็บจากลูกค้า เช่น กู้ซื้อบ้าน รถยนต์ หรือ กู้เพื่อการลงทุน) หรือ อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรและหุ้นกู้ ต่างมีความยึดโยงกับ Fed Fund Rate แทบทั้งสิ้น
ปัจจุบันอัตราของ Fed Fund Rate ถูกกำหนดไว้ที่เป้าหมาย 0.25-0.50 % โดยการปรับตัวครั้งล่าสุดเกิดจากผลการประชุม FOMC ในวันที่ 16 ธ.ค.2558 หลังจากถูกกำหนดไว้ที่ระดับ 0 - 0.25% มาเป็นเวลา 7 ปีพอดี จากการประชุมในวันที่ 16 ธ.ค.2551 ซึ่งตามแถลงการณ์ในวันที่ 16 ธ.ค.2558 ดูเหมือนราวกับว่า FOMC มีความพร้อมที่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2559 นี้ โดยบางสำนัก ณ สิ้นปีที่แล้ว รวมถึงเมื่อต้นปีนี้ บ้างก็พยากรณ์ว่า FOMC จะปรับดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง บ้างก็ว่า 1- 3 ครั้ง และมีเป็นส่วนน้อยที่เชื่อว่า FOMC จะไม่ปรับ Rate ในปี 2559 นี้
ทั้งนี้ เนื่องจาก Fed Fund Rate มีความสำคัญอย่างมากต่ออัตราดอกเบี้ยในทุกตลาดซึ่งมีสกุลเงินคือ ดอลลาร์ (US Dollar) ที่ปัจจุบันยังมีสถานะเป็น World Reserve Currency ที่ยังหาคู่ต่อกรได้ยาก การเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงของ Federal Fund Rate นี้จึงมีผลกระทบต่อตลาดอื่นๆ อีกแทบทุกตลาด ได้แก่ ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และตลาดตราสารหนี้ ตามหลักของ Inter-market Relationship
ถึงกับมีประโยคทองของนักลงทุนที่ว่า Don’t Fight the Fed ที่ว่าด้วยคำแนะนำที่นักลงทุนควรกำหนดนโยบายการลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายของ Fed โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายที่ว่าด้วย Fed Fund Rate ดังที่กล่าวมา
การลงทุนให้สอดคล้องดังกล่าว หนีไม่พ้นการอยู่ Ahead of the Curve นั้นก็คือความสามารถในการพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำว่า Fed Fund Rate จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร หรือจะให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือ การพยาการณ์ในแต่ละการประชุมของ FOMC ซึ่งปีหนึ่งจะมีการประชุมกัน 8 ครั้งจะมีการปรับดอกเบี้ย หรือมีการปรับ Tone สำหรับนโยบายดอกเบี้ยในอนาคตอย่างไร
ในอดีตที่ผ่านมา เครื่องมือการพยากรณ์ Fed Fund Rate ที่มีชื่อเสียงที่สุดหนีไม่พ้น Taylor’s Rule ซึ่งเป็นสมการที่ใช้ในคำนวณ Fed Fund Rate ที่ประกอบไปได้ตัวแปรอย่าง อัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง และส่วนต่างอัตรา GDP ที่แท้จริง และ GDP ที่ควรจะเป็น (หรือที่เรียกว่า Output Gap) ซึ่ง Taylor’s Rule สามารถให้ค่าพยากรณ์ที่ค่อนข้างแม่นยำสำหรับช่วงเวลา 20 ปีที่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า Taylor’s Rule นี้ไม่ค่อย Work แล้วในช่วงกว่า 10 ปีผ่านมา
สำหรับเครื่องมือการพยากรณ์ Fed Fund Rate ที่นิยมกันในปัจจุบันนั้น สามารถคำนวณการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ Fed Fund Rate นี้ได้ออกมาได้ค่อนข้างแม่นยำโดยการอาศัยเครื่องมือทางการเงินอย่าง Futures Contract ตัวที่มีชื่อว่า 30 Day Federal Funds Futures ที่ซื้อขายกันในตลาดล่วงหน้าอันดับหนึ่งของโลกอย่าง CME Group
และเมื่อนำข้อมูลการซื้อขายล่วงหน้าที่ได้จาก CME มาประยุกต์ด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ด้วยวิธีการที่เรียกว่า Binary Probability Tree ซึ่งสามารถตีความข้อมูลที่ได้จาก Futures Contract แสดงออกมาเป็นความน่าจะเป็นของ Fed Fund Rate ในแต่ละช่วงเวลาที่มีการประชุม
อาทิ ณ วันที่ 8 ก.พ. 2559 เวลาที่ผมกำลังเขียนบทความชิ้นนี้อยู่ Binary Probability Tree และราคาล่วงหน้าใน CME (ซึ่งเรียกรวมได้ว่าเป็น CME Group FedWatch Tool) ได้คำนวณออกมาแล้วว่ามีความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นของ Fed Fund Rate ในคราวประชุมของ FOMC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 มี.ค.2559 นี้มีโอกาสเพียง 2%
ขณะที่หากต้องการจะรู้ถึงความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นของ Fed Fund Rate ในคราวประชุมของ FOMC ในช่วงสิ้นปีนี้ นั่นคือ 14 ธ.ค. 2559 จะพบว่าความน่าจะเป็นที่อัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้น ณ ตอนสิ้นปี นี้มีโอกาสเพียง 28.6% ซึ่งถือว่าโอกาสน้อยพอสมควรเทียบกับเมื่อตอนต้นปี
ในช่วงที่ผ่านมา เป็นที่ยอมรับกันดีว่า CME Group FedWatch Tool นี้สามารถทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี สามารถใช้เป็น Indicator ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของ Fed Fund Rate ได้ค่อนข้างแม่นยำ
แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากๆ ของ Futures Market ซึ่งทำหน้าที่ของมันสำหรับกระบวนการ Price Discovery ยังไม่รวมถึงหน้าที่หลักอีกประการหนึ่งนั่นคือ ในการบริหารจัดการกับความเสี่ยงซึ่งผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือดังกล่าวในการบริหารจัดการความเสี่ยงของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ







