รถไฟฟ้าสายสีส้ม : กับการบิดเบือนข้อมูลที่ไม่โปร่งใส

โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเส้นตลิ่งชัน-มีนบุรี เผชิญกับการต่อต้านจากชาวบ้านผู้เดือดร้อนที่จะได้รับผลกระทบ
มายาวนานมากกว่า 3 ปีที่ผ่านมา และพบว่าความไม่โปร่งใสในกระบวนขั้นตอนการดำเนินงานของ รฟม ในเรื่องเส้นทาง กลุ่มประชาชนผู้เดือดร้อนกลุ่มหนึ่ง คือชุมชนแม่เนี้ยวบนถนนประชาสงเคราะห์ และประชาชนในซอยชานเมือง ที่มีข้อร้องเรียนว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงสถานีรางน้ำ-สถานี รฟม ที่วิ่งตัดผ่านเข้าถนนประชาสงเคราะห์ อันประกอบไปด้วย หนึ่ง สถานีดินแดง (ตั้งอยู่ใต้สวนป่าวิภาวดี หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2) สอง สถานีประชาสงเคราะห์ (ตั้งอยู่พื้นที่โรงเรียนดรุณพิทยาพาณิชยการ ที่ในปัจจุบันปิดกิจการไปแล้วหลายปี) และสาม สถานีศูนย์วัฒนธรรม (ศูนย์การค้าเอสปลานาด) ก่อนจะไปเชื่อมต่อที่สถานีหน้า รฟม ถนนพระรามเก้า ซึ่งเส้นทางดังกล่าวจะกระทบต่อการเวนคืนที่ดินจากชุมชนจำนวน 184 แปลงที่เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนจำนวนมาก
เมื่อถูกร้องเรียนจากประชาชน ในระยะแรก รฟม ก็ได้รับฟังความเห็นและได้ไปศึกษาถึงความเป็นไปได้ของทางเลือกที่สอง คือ เส้นทางวิ่งจาก สถานีรางน้ำ เข้าสถานีสู่สถานีเคหะดินแดง (ตั้งอยู่ใต้ถนนดินแดง หน้าสถาบันราชานุกูล ติดโบสถ์แม่พระฟาติมา) และตรงเข้าสู่สถานีพระรามเก้า ก่อนจะตรงไปเชื่อมกับสถานี รฟม เช่นกัน ซึ่งเส้นทางที่สอง นี้วิ่งลอดถนนดินแดง ที่ไม่ต้องไปรื้อถอนบ้านเรือนเหมือนเส้นทางแรก และหากไปดูเส้นทางเลือกทั้งสองเส้นแล้ว จะพบว่าเส้นทางแรกจะมีการวิ่งเป็นรูปตัวยูตามถนนประชาสงเคราะห์ก่อนวิ่งอ้อมเข้าหาสถานีศูนย์วัฒนธรรม ในขณะที่เส้นทางแรกวิ่งเป็นเส้นตรงบนถนนดินแดงเข้าสู่สถานีพระรามเก้าที่ผ่านแฟลตดินแดง
บริษัทที่ปรึกษาเอ็ม เอเอ คอนซัลแตนท์ โดยนายทศวรรณ นิจพานิชย์ เป็นผู้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และได้รายงานผลการศึกษาต่อที่ประชุมร่วมของ รฟม กับประชาชนในเดือน พ.ย. 2557 ซึ่งมีข้อสรุปว่าจากการเปรียบเทียบสองเส้นทาง ในประเด็นหลักๆ ได้ดังนี้ (1) ด้านการให้บริการผู้โดยสารและพัฒนาการเมือง ทั้งสองแนวทางเลือกจะมีผู้มาใช้บริการจำนวนใกล้เคียงกัน และมีความพร้อมในการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อการเดินทาง และการพัฒนาพื้นที่ที่จะส่งเสริมการบริการและการพัฒนาเมือง (2) ด้านวิศวกรรม ทั้งสองแนวทางสามารถจัดการเดินรถไฟฟ้า ความปลอดภัยในการให้บริการ รักษาให้เป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรม (3) ด้านการลงทุน แนวทางเลือกเส้นถนนประชาสงเคราะห์มีค่าใช่จ่ายลงทุนสูงกว่าทางเลือกเส้นพระรามเก้า และ (4) ด้านสิ่งแวดล้อม ทางเลือกเส้นประชาสงเคราะห์มีผู้ถูกเวนคืนที่ดินและพื้นที่อ่อนไหวที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงและฝุ่นละอองจากการก่อสร้างสูงกว่าเส้นทางพระรามเก้า จึงเห็นชอบเส้นทางเลือก”ดินแดงพระรามเก้า”
ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม 2558 รฟม ได้จัดการประชุมที่โรงแรมเซนจูรี และชี้แจงต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบว่า มติคณะกรรมการ รฟม เห็นชอบเส้นทางดินแดงพระรามเก้า และต่อมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 รฟม มีหนังสือแจ้งชาวบ้านทราบถึงมติการเปลี่ยนแปลงเส้นทางรถไฟฟ้า
จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ ในการประชุมคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร) วันที่ 10 มิถุนายน 2558 ที่มีรองนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นประธาน (แทนนายกรัฐมนตรี) ได้มีมติให้กลับไปใช้เส้นทางเดิม คือเส้นทางผ่านชุมชนประชาสงเคราะห์ แต่ทั้งนี้บนพื้นฐานข้อมูลที่ตาลปัตรกับที่บริษัทที่ปรึกษาเอ็ม เอเอ เคยเสนอเองก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ที่ระบุว่า ค่าใช้จ่ายของเส้นทางพระรามเก้ามีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 4,744 ล้านบาท และมีการเวนคืนที่ดิน 592 แปลงมีสิ่งปลูกสร้าง 232 หลัง เทียบกับเส้นทางประชาสงเคราะห์ ที่จะมีการเวนคืนที่ดิน 594 แปลง สิ่งปลูกสร้าง 222 หลัง
ข้อสังเกตก็คือ เอกสารวาระการประชุมของ คจร ในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ไม่ตรงกับที่รายงานการศึกษาที่เคยนำเสนอกับประชาชนในเดือนพฤศจิกายน วันที่ 16 มกราคม ในลักษณะที่มีการกลับทิศทางอย่างมีนัยยะสำคัญต่อการพิจารณาของ คจร ดังนั้นจะต้องสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้จากหน่วยงานเจ้าของเรื่องคือองค์การรถไฟฟ้ามหานคร โดยเฉพาะคณะผู้บริหารและบริษัทที่ปรึกษา ประเด็นเรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจนที่จะนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ถึงการกระทำการที่สุ่มเสี่ยงต่อการประพฤติผิดกฏหมาย และอย่าได้คิดว่าประชาชนจะรู้ไม่เท่าทันด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เองก็ได้ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวจึงได้มอบหมายให้ รมช.ไปดูแลและหาทางแก้ไขที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน แต่สิ่งที่ รฟม ดำเนินการคือเรียกชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มๆ เล็กไปเจรจา ต่อรองเรื่องค่าเวนคืนที่ดินซึ่งไม่ใช่มางเลือกที่ถูกต้อง เพราะชาวบ้านประกาศชัดเจนว่าไม่ขัดขวางของการก่อสร้างรถไฟฟ้าในการสร้างและพัฒนาความเจริญของประเทศ แต่หากยังมีทางเลือกอื่นที่จะลดความขัดแย้งได้ก็น่าจะเป็นหาข้อการยุติที่ดีกว่า เพราะกระทำผิดในการบิดเบือนข้อมูลแล้วอย่าได้ดึงดันกระทำผิดต่อไปเถิด เพราะท่านจะไม่มีโอกาสใช้เงินที่ได้มาโดยไม่สุจริต




