โนบุนากา-ฮิเดโยชิ-อิเอะยาสุ: ผู้กุมอำนาจใต้ฟ้า(2)

โนบุนากา-ฮิเดโยชิ-อิเอะยาสุ: ผู้กุมอำนาจใต้ฟ้า(2)

หลังจากการรบที่ชิสึงะทาเกะ ฮิเดโยชิใช้อำนาจแต่ผู้เดียวในการจัดสรรแบ่งปันเมืองต่างๆ ในระหว่างผู้มีความดี

ความชอบทั้งหมด โดยโนบุคัทสึ บุตรชายคนที่ 2 ของโนบุนากา ที่ยังคงสำคัญตัวว่าเป็นผู้กุมอำนาจใต้ฟ้า สืบทอดจากบิดา ถูกฮิเดโยชิย้ายจากเมืองอะสึจิไปยังเมืองคิโยสึ อันเป็นฐานดั้งเดิมของบิดา และมีฐานะเป็นเพียงไดเมียวคนหนึ่งเท่านั้น

ปี 1583 ฮิเดโยชิ เริ่มต้นสร้างปราสาทโอซากา โดยการเกณฑ์บริวารเดิมทั้งหมดของโนบุนากามาช่วยงาน ยิ่งเป็นการแสดงออกถึงอำนาจบารมีของตนในขณะนั้น โนบุคัทสึจึงเริ่มรู้สึกตัวและเคลื่อนไหวต่อต้านฮิเดโยชิ โดยร่วมมือกับอิเอะยาสุ การรบเกิดขึ้นตั้งแต่อิเสะเหนือ โอวาริ โคมากิยามา มิกาวา มาลงท้ายที่มิโนะตะวันตก อิเอะยาสุมีกำลังน้อยกว่าแต่รบด้วยความสุขุม ฝ่ายฮิเดโยชิจึงอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบในการรบมาตลอด ในที่สุดจึงคิดยุทธศาสตร์แยกโนบุคัทสึออกจากอิเอะยาสุและเจรจาให้โนบุคัทสึยอมแพ้ โดยจำกัดให้อยู่ที่โอวารี เพียงเมืองเดียว อิเอะยาสุจึงต้องยุติการรบและยกทัพกลับฮามามัทสึ การรบดังกล่าวลากยาวมาถึงกว่า 8 เดือนแต่ไม่มีการรบขั้นแตกหักเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว

ทั้งหมดนี้ เป็นยุทธศาสตร์ภาพรวมที่ฮิเดโยชิไม่ต้องการกระทำถึงขั้นหักหาญน้ำใจกัน แม้ว่าประเมินด้วยกำลังแล้ว ชัยชนะจะไม่เป็นเรื่องยากก็ตาม อีกทั้งฐานะการกุมอำนาจใต้ฟ้าของฮิเดโยชิก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ส่วนด้านอิเอยาสุนั้นเล่า ด้วยความตระหนักเต็มอกว่า กำลังน้อยกว่า จึงไม่ต้องการทำสงครามที่จะเกิดความพ่ายแพ้ขึ้น นอกจากนี้อิเอะยาสุยังมีพันธมิตรอยู่ทั่วประเทศ ตั้งแต่โอดาวารา เอทจู คิอิโนะ ชิโกกุ ซึ่งทำให้ฮิเดโยชิก็ต้องคิดหนักเช่นเดียวกัน

ปีเทนโชที่ 13 (1585) ฮิเดโยชิเริ่มเข้าหาพระราชวังจนได้รับโปรดเกล้าจากพระจักรพรรดิให้ดำรงตำแหน่ง คัมปะขุ (??ตามศัพท์ดั้งเดิมแปลว่า ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่ภายหลังหมายถึง ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนพระจักรพรรดิ)

ปี 1586 ฮิเดโยชิหาทางให้เจ้าหญิงอาซาฮี น้องสาวของตนได้สมรสกับอิเอะยาสุในฐานะภรรยาหลวง แม้ว่าอิเอะยาสุจะยังไม่อยู่ใต้อำนาจแต่ก็ดูเหมือนความใกล้ชิดมีมากขึ้น พันธมิตรต่างๆ ก็หมดไปจนเหลือเพียงโอโจ อุยิมาสะ ที่ยังพึ่งได้เท่านั้น ความแตกต่างของอำนาจต่อรองกับฮิเดโยชิจึงมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้ การเข้าพบฮิเดโยชิที่เมืองหวงอันแสดงถึงการยอมรับในอำนาจจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เพื่อรับประกันความปลอดภัย ฮิเดโยชิจะต้องส่งมารดาบังเกิดเกล้าไปเป็นตัวประกันที่โอกะซากิของอิเอะยาสุ

ปี 1586 ฮิเดโยชิ ได้รับพระราชทานนามสกุลเป็น โตโยโตมิ ในปีนี้ ฮิเดโยชิได้ออกโซบุยิเรอิ (คำสั่งให้ยุติสงครามระหว่างเจ้าเมืองเอง) ให้แก่หัวเมืองต่างๆ ทางแถบโออุ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือปัจจุบัน) ซึ่งรวมถึงโฮโจ อุยิมาสะแห่งโอดาวาราด้วย จึงเดือดร้อนถึงอิเอะยาสุให้ต้องเกลี้ยกล่อมให้มาสวามิภักดิ์ด้วย แต่ก็ไม่เรียบร้อยและทำให้ฮิเดโยชิต้องยกทัพใหญ่มาปราบปรามให้สงบ พร้อมกับเปิดให้เจ้าเมืองต่างๆ มาสวามิภักดิ์ด้วย หลังจากนั้น อิเอะยาสุได้รับดินแดนของตระกูลโฮโจทั้งหมดเป็นรางวัลและปล่อยวางมือจากหัวเมือง 5 แห่งทางภาคกลาง มาตั้งหลักที่เมืองเอโดะ ส่วนฮิเดโยชินั้น ถือเป็นการยกกำลังไปปราบเมืองโออุเป็นครั้งสุดท้าย ในการบรรลุการรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดให้เป็นปึกแผ่นจริงๆ

ฮิเดโยชิไม่สามารถรักษาอำนาจการปกครองให้มีเสถียรภาพได้ด้วยสาเหตุ 2 ประการ คือ ประการแรก การยกกองทัพบุกเกาหลีประสบความล้มเหลวถึง 2 ครั้ง เจ้าเมืองต่างๆ ภายในประเทศเองก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ประการที่สองคือ กรณีของฮิเดจึงุ (เป็นลูกชายของน้องสาวที่ฮิเดโยชิเอามาเลี้ยงเป็นบุตร) ปี 1591 ฮิเดโยชิสละตำแหน่ง คัมปะขุให้ฮิเดจึงุเป็นแทน แต่พอปี 1593 ฮิเดโยชิได้ลูกชายแท้ๆ ของตนเองชื่อ ฮิเดโยริ ฐานะของฮิเดจึงุก็เกิดความหวั่นไหวทันที ในปี 1595 จู่ๆ เขาถูกสงสัยว่าคิดการขบถ ถูกถอดยศคัมปะขุ ถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่ภูเขาโคยะ และถูกบังคับให้คว้านท้องตัวเองที่สุด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียง 1 เดือน นอกจากนี้บุคคลในครอบครัวกว่า 30 คน รวมทั้งบริวารผู้ใกล้ชิดถูกประหารชีวิตทั้งหมด เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่จะรับช่วงอำนาจการปกครองได้ต้องหมดไปเป็นจำนวนมาก

ปี 1598 สุขภาพของฮิเดโยชิ เริ่มทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มรู้ชะตาตัวเอง จึงได้ออกหนังสือประกาศให้ทุกฝ่ายซื่อสัตว์ต่อฮิเดโยริ อีกทั้งยังแต่งตั้งไทโร 5 คน และ บุเงียว 5 คน ก่อนตายเพื่อให้ร่วมกันบริหารราชการบ้านเมืองเป็นหมู่คณะจนกว่า ฮิเดโยริจะบรรลุนิติภาวะ หลังจากนั้น ก็ถึงแก่กรรม

ปัจฉิมลิขิตของฮิเดโยชิอย่างหนึ่งก็คือ ข้อห้ามไม่ให้มีการแต่งงานในระหว่างครอบครัวของไดเมียวด้วยกัน แต่ว่ายังไม่ทันไร ลูกชายคนที่ 6 ของอิเอะยาสุก็แต่งงานกับลูกสาวของดาเตะ มาสะมุเนะ และตระกูลของฟุกุชิมา มาสะโนริ ก็แต่งงานกับตระกูลของฮาจิสุกะ อิเอมาสะ หลังจากนั้น แม่ทัพสำคัญ 7 นายทำการโจมตีหมายสังหาร อิชิดะ มิทสึนาริ เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับในการทำสงครามกับเกาหลี อิเอะยาสุเข้าทำการไกล่เกลี่ยและกลายเป็นผู้มีบารมีมากที่สุดไปในทันทีแต่ทำให้มิทสึนาริไม่พอใจ

ปี 1599 อุเอะสุงิ คาเงะคัทสึ ถูกกล่าวหาว่าขบถ อิเอะยาสุใช้คำสั่งของฮิเดโยริ ในฐานะคัมปะขุ (โชกุน) ระดมทัพไดเมียวยกไปปราบบริเวณฟุกุชิมาปัจจุบัน มิทสึนาริถือเป็นโอกาสดีที่จะยกกำลังตีตลบหลังเพื่อล้มอิเอะยาสุ กองทัพของอิเอะยาสุและพวกเรียกว่ากองทัพตะวันออก กองทัพของฝ่ายมัทสึนาริและพวก เรียกว่า กองทัพตะวันตก สภาวะที่เกิดขึ้นคือฝ่ายอิเอะยาสุถูกขนาบด้วยกองทัพของอุเอะสุงิ กับ กองทัพตะวันตก อิเอะยาสุตัดสินใจให้ความสำคัญกับกองทัพตะวันตกมากกว่า จึงจัดกำลังเป็น 2 ทัพๆ หนึ่ง อิเอะยาสุนำเอง ใช้เส้นทางโตไคโด (ริมฝั่งทะเล) อีกทัพหนึ่งให้ฮิเดทาดะนำ โดยใช้เส้นทางนากาเซนโด (กึ่งกลางประเทศ) แต่ทัพของฮิเดทาดะเดินทางล่าช้า อิเอะยาสุจึงตัดสินเข้ารบขั้นเด็ดขาดกับกองทัพตะวันตกที่ เซกิงะฮารา อันเป็นยุทธการลือลั่นอีกครั้งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น (เซกิงะฮาราอยู่จังหวัดกิฟุ กึ่งกลางระหว่างเมืองโอโองากิกับนางาฮามาในปัจจุบัน)

อิเอะยาสุยังคงมีฐานะเป็นเพียงผู้สำเร็จราชการให้แก่ โตโยโตมิ ฮิเดโยริ ต่อมาในปี 1603 อิเอะยาสุได้รับพระราชทานตำแหน่งเซอิไทโชกุน (โชกุน) จากพระจักรพรรดิอย่างเป็นทางการ และหลุดพ้นจากฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งของตระกูลโตโยโตมิอย่างเด็ดขาด ในขณะนั้น อิเอะยาสุยังหาเหตุผลที่จะเป็นปฏิปักษ์กับฮิเดโยริไม่ได้ อีกทั้งกำลังของตระกูลโตโยโตมิยังคงยิ่งใหญ่ อิเอะยาสุถึงขั้นที่ตัดสินใจให้ลูกสาวคนโตของฮิเดทาดะแต่งงานกับฮิเดโยริเพื่อความปรองดอง ปี 1605 อิเอะยาสุสละตำแหน่งโชกุนให้ฮิเดทาดะรับช่วงต่อ สภาพความเป็นจริงขณะนั้นก็คือ ไดเมียวสายตระกูลโตโยโตมิเองก็รู้สึกชอบและเกรงอิเอยาสุอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าหลังจากที่ตนเองตายไปแล้ว จะมีการสวามิภักดิ์ต่อฮิเดทาดะหรือไม่

ปี 1609 อิเอะยาสุคิดว่า ถึงเวลาที่จะต้องวัดกำลังกันแล้ว เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างปราสาทซาซายามา ที่เมืองทำบะโดยการเชิญไดเมียวต่างๆ ให้เข้ามาร่วมแรงร่วมใจกันด้วย ซึ่งถือเป็นสิ่งปกติในญี่ปุ่น ปีถัดๆ ไปก็ให้สร้างปราสาทนาโกยา ปราสาทอุเอโน และอื่นๆ อีกตามลำดับ ทั้งหมดนี้ กลายเป็นปราสาทที่ล้อมรอบปราสาทโอซากา

ช่วงปี 1611-1614 แม่ทัพในสายตระกูลโตโยโตมิที่ฮิเดโยชิสร้างขึ้นมาต่างทะยอยเสียชีวิตจนความสมดุลย์ทางทหารระหว่างตระกูลโทกุงาวากับโตโยโตมิเปลี่ยนไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่อิเอะยาสุ

ปี 1614 เกิดเหตุการณ์ที่ฮิเดโยริสร้างระฆังถวายวัดโฮโคจิในโอกาสฉลองการก่อสร้างวิหารพระพุทธรูปเสร็จสิ้น ปัญหาอยู่ที่ข้อความที่สลักบนระฆังที่ว่า “โคกขะอันโค คุนชินโฮราขุ” ซึ่งแปลว่า “บ้านเมืองสงบสุข ไพร่ฟ้าหน้าใส” แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือตัวที่ 2 และ 4 อันเป็นชื่อของอิเอยาสุถูกแยกออกจากกัน ในขณะที่หนังสือตัวที่ 6 และ 7 อันเป็นชื่อตระกูลโตโยโตมิอยู่ติดกัน อิเอะยาสุไม่พอใจด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ แม้ว่าฮิเดโยริจะส่ง คาตะงิริ คัทสึโมโต ผู้ปกครอง ไปพบอิเอะยาสุ เพื่อขออธิบายแต่ก็ไม่ได้ให้เข้าพบ ฝ่ายโตโยโตมิก็เรียกทัพเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีไดเมียวไหนกล้าออกหน้าด้วย มีเฉพาะโรนิน (นักรบที่ไม่มีเจ้านาย) ที่แตกกระสานซ่านเซ็นจากเซกิงะฮาราเท่านั้น ที่พากันออกมามีจำนวนประมาณ 1 แสนคนเห็นจะได้ ฝ่ายอิเอะยาสุเองมี 2 แสนคน แต่ก็ไม่อาจตีประสาทโอซากาที่แข็งแรงมากได้จนต้องใช้วิธีเจรจาโดยมีเงื่อนไขว่า ให้ทำลายเรือนรับรองที่ 2 และ 3 และให้อภัยโทษพวกโรนิน

ปี 1615 พวกโรนินรวมตัวกันอีก และคูเมืองรอบประสาทที่ถมไปก็ถูกขุดขึ้นมาใหม่ อิเอะยาสุจึงสั่งให้ฮิเดโยริกับโยโดโตโนะ (ภรรยาของฮิเดโยชิ) ไปอยู่เสียที่ปราสาทโคริยามาที่เมืองยามาโต แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติ อิเอะยาสุจึงนำทัพด้วยตนเองเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตด้วยกำลังทั้งสิ้น 155,000 คน แม้ว่าฝ่ายโตโยโตมิจะต่อสู้ อย่างดุเดือด แต่ด้วยกำลังที่แตกต่างกันมาก จึงพ่ายแพ้ในที่สุดหลังจากต่อสู้อยู่ 2 วัน เมื่อหมดหวังแล้ว ฮิเดโยริ กับโยโดโตโนะจึงปลิดชีวิตตัวเองที่เขิงกำแพงเมืองของปราสาทโอซากา ส่วนคุนิมัทสึ ลูกชายที่เกิดแต่ฮิเดโยริกับลูกสาวของฮิเดเทดะ ถูกตัดหัว และลูกสาวถูกบังคับให้บวชชี

ปี 1616 อิเอะยาสุป่วยและเสียชีวิตด้วยวัย 75 ปี ยุคเซนโขขุของญี่ปุ่นจึงสิ้นสุดลง

โนบุนากา ฮิเดโยชิ และอิเอะยาสุ ต่างเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ แต่โชคชะตานั้นสำคัญยิ่งกว่าที่ทำให้อิเอะยาสุได้เป็นผู้กุมอำนาจใต้ฟ้าในที่สุด