การสร้างและทำลายองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์

การสร้างและทำลายองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์

ในกระบวนการสร้าง “นวัตกรรม” เมื่อจำแนกลงไปในรายละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่ายังสามารถแยกย่อยออกไปได้หลายประเภท

และในการสร้างนวัตกรรมแต่ละประเภทนั้น จะต้องใช้องค์ความรู้ขององค์กรที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ที่อาจต้องการองค์ความรู้ที่ซับซ้อนมากกว่าการสร้างนวัตกรรมด้านการตลาด นวัตกรรมการบริการ หรือ นวัตกรรมรูปแบบธุรกิจ

เนื่องจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ จำเป็นที่จะต้องใช้ความรู้หลายด้านมาประกอบกัน ตั้งแต่ความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบ ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบ ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี ความรู้เกี่ยวกับชิ้นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ และความรู้เกี่ยวกับวิธีการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาเชื่อมต่อกันให้ผลิตภัณฑ์สามารถทำงานได้ในรูปแบบใหม่ตามต้องการ

สำหรับธุรกิจที่มีการดำเนินการอยู่แล้วและต้องการสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจด้วยการใช้กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ก็อาจต้องการองค์ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาเสริมภายในองค์กรมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าโดยธรรมชาติของการทำธุรกิจ องค์กรธุรกิจจะต้องมีการสะสมองค์ความรู้ไว้ในองค์กรตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีทำงาน ซึ่งอาจเก็บสะสมไว้ในตัวบุคคลากรผู้ปฏิบัติงาน องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งอาจเก็บสะสมไว้ในรูปของเอกสาร แบบวิศวกรรม มาตรฐานการผลิต หรือมาตรฐานคุณภาพ ที่นอกจากจะเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารแล้ว ยังอาจเก็บสะสมไว้ในตัวบุคคลากรทางด้านวิศวกรรมหรือช่างด้วยก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายการจัดการความรู้ของแต่ละองค์กร

มีประเด็นที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ก็คือ ในการสร้าง “นวัตกรรม” ที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับธุรกิจ เมื่อธุรกิจนำองค์ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาในองค์กรแล้ว องค์ความรู้เดิมที่สะสมอยุ่ในองค์กร จะต้องถูกทำลายไปด้วยหรือไม่

ต้องไม่ลืมว่า องค์ความรู้ขององค์กร ก็มีต้นทุนในการได้มา ในบางเรื่อง ต้องใช้เวลาสะสมไว้นานนับ 10 ปี เพื่อทำให้ธุรกิจมีความชำนาญที่เป็นพิเศษแตกต่างกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในตลาด

เรื่องของ การสร้างสรรค์ด้วยการทำลายของเดิมที่มีอยู่ หรือ Creative Destruction จึงเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้บริหารธุรกิจในหลายๆ ครั้งที่ต้องตัดสินใจที่จะต้องทำลายองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ในองค์กร เพื่อนำองค์ความรู้ใหม่เข้ามา

ทั้งๆ ที่รู้ว่า การตัดสินใจนี้ เป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงมากพอสมควร หากตลาดไม่ยอมรับหรือไม่ตอบสนองกับนวัตกรรมที่สร้างขึ้นมา

เราจึงจะเห็นได้โดยทั่วไปว่า ธุรกิจที่ดำเนินการอย่างมั่นคงแล้ว มักจะตัดสินใจเลือกทำนวัตกรรมแบบต่อยอด โดยการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์เดิมออกไปเพียงเล็กน้อย เพื่อต้องการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ที่สะสมอยู่ในตัวธุรกิจให้นานที่สุด

จนกว่าตลาดเดิมจะถูกสั่นคลอนจากภัยคุกคามใหม่ หรือมีสัญญาณเตือนภัยจากตลาด จึงคิดเริ่มขยับขยายนวัตกรรมที่ฉีกแนวออกไปมากขึ้นเพื่อการอยู่รอด

ส่วนเรื่องของการสร้างนวัตกรรมแบบพลิกโฉม มักจะอยู่ในความสนใจของผู้ประกอบการธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพ เป็นส่วนใหญ่ เพราะมีโอกาสที่จะสะสมองค์ความรู้ใหม่ โดยไม่มีต้นทุนที่เกิดจากการสร้างสมองค์ความรู้เก่าใดๆ อยู่ให้ต้องเสียดาย

ในแง่ของผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งมักจะเป็นการประกอบหรือเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทำงานได้ตามต้องการ องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง อาจจำแนกออกได้เป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของชิ้นส่วนแต่ละชิ้น กับองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับวิธีการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาเชื่อมต่อกัน

นักวิชาการด้านการบริหารจัดการนวัตกรรม จะเรียกองค์ความรู้ชนิดแรก ว่า เป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ (Component Knowledge) ส่วนองค์ความรู้ชนิดที่ 2 จะเรียกว่าเป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของผลิตภัณฑ์ (Architectural Knowledge)

จะเห็นได้ว่า ในการทำนวัตกรรมเกี่ยวกับองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ เช่น การเปลี่ยนนาฬิกาแบบใช้เข็ม มาเป็นนาฬิกาแบบดิจิทัล จะทำให้องค์ความรู้ของธุรกิจที่มีอยู่ในการผลิตและพัฒนาระบบลานและการไขลานของนาฬิกาต้องถูกทำลายไป โดยมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการกำหนดเวลาแบบดิจิทัลมาแทน

บุคลากรที่ชำนาญในเรื่องของลานและฟันเฟืองที่มีประสบการณ์มายาวนาน ก็จะไม่มีความหมายต่อธุรกิจอีกต่อไป

และอาจกลายมาเป็นส่วนเกินของบริษัทเสียด้วยซ้ำ

ส่วนการทำนวัตกรรมเชิงสถาปัตยกรรมของผลิตภัณฑ์นั้น องค์กรธุรกิจยังจะสามารถใช้องค์ความรู้ที่สะสมไว้เกี่ยวกับการเชื่อมต่อหรือการเชื่อมโยงองค์ประกอบหรือชิ้นส่วนต่างๆ ไว้ได้ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องทำลายองค์ความรู้เหล่านี้ทิ้งไป

ยกตัวอย่างเช่น ในบริษัทผลิตพัดลมไฟฟ้า ซึ่งต้องนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเชื่อมต่อกัน เช่น มอเตอร์ ใบพัด ระบบควบคุมความเร็วของใบพัด และตัวโครงสร้างของพัดลม

ธุรกิจนี้สามารถใช้องค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อของชิ้นส่วนต่างๆ มาสร้างเป็นนวัตกรรมพัดลมรูปแบบต่างๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นพัดลมตั้งโต๊ะ พัดลมแขวนเพดาน พัดลมขนาดจิ๋วพกติดตัว หรือแม้กระทั่งพัดลมขนาดใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรม

โดยใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่สำหรับชิ้นส่วนต่างๆ และการพลิกแพลงวิธีการเชื่อมต่อในการทำงานของชิ้นส่วนเหล่านี้ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ได้ตลอดเวลา โดยการเพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับวิธีการเคลื่อนย้ายอากาศจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง โดยยังคงความรู้เดิมเกี่ยวกับชิ้นส่วน ความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละชิ้นส่วน และวิธีการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาเชื่อมต่อกัน

ทำให้สามารถสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าสูงขึ้นกว่าเดิมได้ และสามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจได้โดยไม่ต้องเสียสละหรือทำลายองค์ความรู้และความชำนาญเดิมที่สะสมไว้ไปโดยเปล่าประโยชน์

ธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมุ่งความสนใจไปที่การสร้างนวัตกรรมแบบต่อยอด การสร้างนวัตกรรมแบบพลิกโฉม หรือ การสร้างนวัตกรรมองค์ประกอบ แต่มักจะลืมนึกถึงการเลือกในการสร้างนวัตกรรมเชิงสถาปัตยกรรมผลิตภัณฑ์

ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะสร้างความแปลกใหม่และคุณค่าเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยไปกว่าการสร้างนวัตกรรมแบบพลิกโฉม หรือนวัตกรรมองค์ประกอบผลิตภัณฑ์ แต่มีต้นทุนนวัตกรรมที่ต่ำกว่า

และยังไม่ทำให้ทรัพย์สินทางปัญญา องค์ความรู้ ประสบการณ์ที่สะสมไว้ในตัวธุรกิจ หรือการลงทุนที่เกี่ยวกับเครื่องจักรหรือสายการผลิต ต้องด้อยค่าหรือสูญค่าไป