ROI ขององค์กรที่มีความสุข

ROI ขององค์กรที่มีความสุข

การที่องค์กรลงทุนสร้างปัจจัยสิ่งแวดล้อมให้พนักงานมีความสุขจะคุ้มค่ากับการลงทุน สามารถวัดค่า ROI ได้

บรรยากาศปีใหม่คงยังอบอวลในจิตใจของพวกเราเหล่ามนุษย์เงินเดือนอยู่นะคะ และในไม่ช้าตรุษจีนก็จะย่างมาถึง ช่วงเวลาต้นปีแบบนี้เรามาสร้างพลังกายพลังใจให้กับตัวเราและองค์กรกันดีกว่า จะได้มีแรงสร้างผลงานที่จะนำผลกำไรและผลตอบแทนดีๆมาให้ตัวเรา

ซึ่งการที่คนเราจะมีพลังกายพลังใจทำอะไรต่างๆนานาได้ พลังเหล่านั้นย่อมมาจากร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เวลาเราพูดถึงคำว่า “ความสุข” มันเป็นคำที่ออกแนวนามธรรมจับต้องได้ยาก  เพราะแต่ละคนย่อมมีรสนิยมและนิยามของความสุขที่แตกต่างกันไป

สำหรับแวดวงการบริหารบุคคล เรามองว่าพนักงานที่มีความสุขคือพนักงานที่มีความพอใจในงานและองค์กรที่ตนทำงานด้วย รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า สามารถสร้างผลงานให้องค์กร ผูกพันกับองค์กร และอยากสร้างงานดีๆให้องค์กรของตนอยู่เรื่อยๆ จากมุมมองนี้ เราจึงสามารถวัดระดับความสุขของพนักงานได้แม้จะไม่สามารถวัดกันตรงๆแบบเอาปรอทมาวัดไข้ก็ตามที ชาว HR จึงสามารถรายงานได้ว่าขณะนี้พนักงานมีความสุขหรือความพึงพอใจในงาน (Job Satisfaction)  อยู่ในระดับใด

อย่างไรก็ตาม CEO และผู้บริหารแผนกอื่นที่ดูแลเรื่องการเงิน การบัญชีขององค์กรอาจจะมีความเห็นและมีคำถามฝากให้ HR ช่วยหาคำตอบว่า “การที่พนักงานมีความสุขก็เป็นเรื่องดี แต่ว่ามันมีผลดีอะไรกับองค์กรในแง่ของผลิตภาพหรือผลกำไรที่วัดเป็นตัวเลขได้บ้าง?” จะได้เห็นกันชัดๆฟันธงได้ว่าการที่พนักงานมีความสุขจะมีผลกระทบทางบวกต่อองค์กร  ซึ่ง HR มือโปรย่อมหาคำตอบและข้อมูลหลักฐานต่างๆมาอ้างอิงและยืนยันได้ค่ะ

 เริ่มจากงานศึกษาของนักจิตวิทยา เช่น ซอนย่า ลิวโบเมียร์สกี้ ลอร่า คิง และ เอ็ด ดีเนอร์ (Sonja Lyubomirsky, Laura King and Ed Diener) ที่ได้ศึกษาเก็บข้อมูลจากตัวอย่างมนุษย์เงินเดือนจำนวน 275,000 คนทั่วโลก พบว่าความสุขเป็นปัจจัยหลักที่นำให้พวกเขาได้รับความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีการสร้างผลงาน มีสุขภาพที่ดี มีอายุยืน มีสัมพันธภาพที่ดี มีวงสังคมที่ดี มีความคิดสร้างสรรค์และพลังชีวิต สรุปสั้นๆก็คือความสุขนำไปสู่ความสำเร็จค่ะ ดังนั้นถ้าองค์กรและพนักงานต้องการความสำเร็จ องค์กรก็ต้องมีพนักงานที่มีความสุข

 เท่านี้ยังไม่พอ...ยังมีหลักฐานงานวิจัยอื่นๆมาสนับสนุนเรื่องผลดีที่วัดได้ของการสร้างความสุขในองค์กรอีก บริษัทที่ปรึกษาชื่อดังอย่างแกลลัพ (Gallup) ได้ทำการสำรวจเรื่องผลลัพธ์ของการที่พนักงานมีความผูกพันกับองค์กร (Employee Engagement) มานานหลายทศวรรษพบว่าหน่วยงานธุรกิจที่มีพนักงานที่มีความผูกพันในระดับสูงสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าหน่วยงานที่พนักงานมีความผูกพันต่ำกว่า ตัวเลขเฉลี่ยคือเดือนละ 80,000 -120,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ...งานนี้ CFO ที่สนใจตัวเลขด้าน ROI คงเริ่มหูผึ่งกันนะคะ

 ยังมีข้อมูลสนับสนุนอีกค่ะ มาดูตัวเลขกันต่อจาก โซฟี ฟรานซิส (Sophie Francis) นักจิตวิยาและโค้ชผู้นำของกลุ่มแลงก์ลีย์ (Langkey) ที่เปิดเผยข้อมูลว่าคนทั่วไปที่ได้คะแนนจากการทดสอบสภาพทางจิตว่าเป็นผู้มีความสุขจะมีภูมิต้านทานโรคหวัดสูงกว่าคนที่ไม่ค่อยมีความสุขถึง 50% องค์กรที่มีพนักงานแข็งแรงย่อมจ่ายค่าสวัสดิการการรักษาสุขภาพของพนักงานน้อยลงกว่าองค์กรที่มีพนักงานขี้โรค งานนี้วัดออกมาเป็นตัวเลขได้เช่นกัน

 ดูตัวเลขกันพอหอมปากหอมคอซึ่งก็คงพอทำให้เชื่อได้ว่าการที่องค์กรจะลงทุนสร้างปัจจัยสิ่งแวดล้อมให้พนักงานมีความสุขและมีความพึงพอใจในงานมากขึ้นย่อมคุ้มค่ากับการลงทุนโดยที่สามารถวัดค่า ROI ออกมาได้คร่าวๆดังตัวอย่างที่แสดงให้เห็น ที่สำคัญก็คือ “ความสุขเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้”

เพราะจากงานวิจัยของซอนย่า ลิวโบเมียร์สกี้และคณะได้แสดงให้เห็นว่าระดับความสุขของมนุษย์เงินเดือนที่แตกต่างกันเป็นผลของพันธุกรรมถึง 50%  (หมายความว่าลักษณะทางพันธุกรรมที่สืบทอดมรดกจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายมีส่วนกำหนดบุคลิกลักษณะ ความคิดและทัศนะคติที่มีต่อระดับความสุขของคนเราถึง 50% เช่น ถ้าสายพันธุ์เป็นคนร่าเริง สนุกง่าย สุขได้ง่าย ลูกหลานก็จะมีแนวโน้มเป็นคนสุขง่าย สนุกง่าย)  อีก 10% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ในแต่ละชั่วขณะ และที่เหลืออีก 40% ของโอกาสที่คนเราจะมีความสุขจึงเป็นส่วนที่เจ้าตัวแต่ละคนเป็นผู้กำหนดเองได้

คำถามต่อไปก็คือมนุษย์เงินเดือนและผู้บริหารองค์กรจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มความสุขให้กับชีวิตการทำงานในองค์กร งานนี้โซฟี ที่ปรึกษาของแลงก์ลีย์ และ ชอว์น แองเคอร์ (Shawn Anchor) เจ้าของผลงานหนังสือเรื่อง “The Happiness Advantage” ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญอีกหลายท่านได้ให้ข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ค่ะ

-   มุ่งเน้นให้ความสนใจกับสิ่งที่พนักงานทำได้ดีและสามารถทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีกมากกว่าจะไปมุ่งเน้นเรื่องที่ทำผิดหรือเรื่องที่ทำได้ไม่ค่อยดี (ก็ไม่รู้จะเน้นไปให้จิตตกทำไม จริงไหมคะ?)

-   พิจารณาดูว่าพนักงานมีสภาพจิตอารมณ์ในทางบวกมากกว่าลบหรือไม่ เช่นมีเวลาที่อารมณ์ดี หัวเราะ มากกว่าเวลาที่เศร้าซึมจ๋อยหรือไม่? ถ้าแง่ลบมากกว่าแสดงว่าต้องปรับปรุงแก้ไขหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์แล้วละ

- ประเมินดูว่าผู้นำองค์กรและหัวหน้างานรู้จักวิธีการที่จะสร้างบรรยากาศการทำงานในเชิงบวกที่จูงใจพนักงานให้มีความพึงพอใจในงานมากน้อยเพียงใด ถ้ามีน้อยก็ต้องฝึกอบรมหัวหน้าให้มีทักษะในการสร้างองค์กรที่มีความสุขกันละ

องค์กรมีการสนับสนุนสร้างโอกาสให้พนักงานได้แสดงจุดเด่นและพัฒนาจุดเด่นของเขาหรือไม่? เพราะพนักงานที่ได้แสดงศักยภาพให้องค์กรได้ประจักษ์จะเป็นพนักงานที่มีความสุขค่ะ

องค์กรของเรามีระบบการประเมินผล การให้รางวัลผลตอบแทนและการยกย่องพนักงานที่ยุติธรรมโปร่งใส และกระตุ้นให้พนักงานอยากสร้างผลงานหรือไม่?

5 ประการเพียงแค่นี้คือคำถามพื้นฐานที่องค์กรสามารถใช้ประเมินประสิทธิภาพของตนในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีความสุขที่ส่งเสริมให้พนักงานสร้างผลงานค่ะ แม้ว่าเวลานี้ตลาดหุ้นตลาดทุนทั่วโลกออกอาการด่ำดิ่ง แต่เชื่อว่าการลงทุนสร้างความสุขในองค์กรน่าจะสร้าง ROI ในทางบวกให้กับองค์กรได้มากพอสมควร

สุดท้ายนี้มีข่าวประชาสัมพันธ์ดีๆมาฝากนายจ้างทุกองค์กรที่ต้องการเรียนรู้เป็น “สุดยอดนายจ้างของประเทศไทยและเอเซียประจำปี 2559 นี้ โดยศศินทร์จับมือกับเออน ฮิววิทจัดสำรวจ “Best Employers in Thailand 2016”  ซึ่งการเข้าร่วมการสำรวจจะทำให้องค์กรนายจ้างได้คำตอบที่เที่ยงตรงว่าท่านมีจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนาอย่างในเรื่องการบริหารบุคลากร และยังจะได้เรียนรู้มาตรฐานการประเมินคุณสมบัติการบริหารจัดการบุคลากรในระดับโลกาภิวัฒน์อีกด้วย สนใจรายละเอียดและเข้าร่วมการสำรวจ เชิญแวะเข้าเยี่ยมเว็บไซต์ www.bestemployerasia.com งานนี้ถ้าได้เป็นสุดยอดนายจ้าง รับรองว่าระดับความสุขของพนักงานและผลิตภาพขององค์กรต้องพุ่งแรงยั้งไม่หยุดเลยค่ะ