ตลาดนัด: ทางเลือกที่ชาวบ้านสร้างสรรค์ขึ้น

ตลาดนัด: ทางเลือกที่ชาวบ้านสร้างสรรค์ขึ้น

ผมตั้งคำถามกับเพื่อนนักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งว่า ในเมื่อเศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดี ทำไมจึงไม่ค่อยเห็น

ปฏิกิริยาจากชาวบ้าน ยกเว้นกลุ่มที่ถูกรัฐบีฑาตรงๆ (เช่น ถูกไล่ออกจากป่า/สวนปาล์ม) แม้ว่าคำตอบของเพื่อนๆ น่าสนใจหลายประเด็น แต่ยังไม่จุใจผม จึงอยากลองตอบคำถามง่ายๆ ว่าชาวบ้านทั่วไปเขาอยู่กันได้อย่างไร ภายใต้เศรษฐกิจที่ไม่ดีแบบนี้

หลังจากปี 2540 เป็นต้นมา มีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตทางเศรษฐกิจของชาวบ้านอย่างสำคัญ ได้แก่ การสร้างทางเลือกให้แก่ชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อย และเป็นทางเลือกให้แก่สังคมด้วย นั่นคือการเข้าสู่ “ตลาดแบบจารีต” จนการขยายตัวอย่างมากของ “ตลาดนัด” หรือเรียกอีกคำหนึ่งได้ว่าเป็น “ตลาดชาวบ้าน”

ตลาดนัดในสมัยก่อนมีการ “ติดตลาด” อาจจะเดือนละครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้ง และส่วนใหญ่เป็นตลาดสินค้าที่จำเป็นต่อการผลิตในภาคการเกษตร เช่น ตลาดนัดวัวควาย เป็นต้น แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปี 2540 กลับกลายเป็นการเปิด “หน้าต่างแห่งโอกาส” บานใหม่ ที่ทำให้ชาวบ้านทั่วไปได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างกว้างขวาง อย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน นั่นคือการขยายตัวของสถาบันการเงินแบบ non-bank

วิกฤติเศรษฐกิจได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงความคาดหวังในเรื่อง “การทำงาน” เพราะความไม่แน่นอนและความรู้สึกว่าถูก “หักหลัง” กระจายทั่วไปในกลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน และคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังหางานอยู่ การแสวงหา “ทางเลือก” ของชีวิตจึงได้เกิดขึ้น และกลายเป็นแนวทางในการแสวงหาอาชีพที่ “จ้างตัวเอง” มากขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบเข้ากับความเปลี่ยนแปลงในชนบท ก็ได้เกิดการสร้างสรรค์ครั้งสำคัญขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ชนบท ที่เข้าสู่การผลิตเพื่อขายเข้มข้นมากขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 2530 ได้ทำให้วิถีชีวิตที่ไม่สามารถพึ่งพิงสรรพอาหาร และเครื่องใช้ไม้สอยจากธรรมชาติได้อีกต่อไป ชีวิตต้องพึ่ง “ตลาด” มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการขยายตัวของ “รถพุ่มพวง/รถตลาด” ที่เข้าสู่หมู่บ้านทุกแห่ง พร้อมกันนั้น จะเห็นได้ว่าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่สำคัญ ที่ชาวบ้านทั่วไปต้องซื้อหากันมากที่สุดในช่วงนี้ ได้แก่ ตู้เย็น ที่สามารถเก็บผักปลา อาหารสดอาหารแห้งไว้ได้นานขึ้น

ด้วยเงื่อนไขอย่างน้อยสองด้านนี้เอง จึงทำให้เกิดชาวบ้านจำนวนไม่น้อย ได้มองเห็นแนวทางการดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจ ที่มุ่งเน้นการตอบสนองต่อ “ความต้องการภายในท้องถิ่น” ด้วยการสร้าง “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” ที่มีจังหวะถี่มากขึ้น และกระจายความถี่ของการมีตลาดออกไปในหลายพื้นที่ในท้องถิ่นหนึ่งๆ

ส่วนใหญ่แล้ว “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่จะสามารถที่จะจัดให้เกิดได้อาทิตย์ละ 4-5 วัน กระจายไปในที่ต่างๆ ละแวกไม่ไกลกันมากนัก ที่สำคัญ “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” ที่ไม่ใหญ่มากนักนี้ จะมีผู้ขายที่เป็นคนในพื้นที่ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ขายทั้งหมด ผู้ขายกลุ่มนี้จะนำเอาพืชผักผลไม้และสิ่งอื่นๆ ที่ผลิตในพื้นที่นั้นมาสู่ตลาด ส่วนผู้ค้า/พ่อค้าประจำอีกร้อยละห้าสิบ ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล โดยมากแล้วก็เป็นคนในพื้นที่แถบนั้น เพียงแต่มีเครือข่ายของผู้ค้าที่กว้างขวางชักนำให้เข้าถึงแหล่งสินค้าอื่นๆ ที่คนในชุมชนต้องการ จึงกล่าวได้ว่า “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นการซื้อขายในระดับท้องถิ่นที่ไม่กว้างขวางนัก และผู้ค้าเองก็จะไม่เดินทางข้ามไปค้าขายไกลมาก วงจรการไหลเวียนของเงินตรา จึงพักค้างอยู่ในระดับท้องถิ่น มากกว่าการซื้อขายสินค้าทั่วไปอย่างที่ผ่านมา

แน่นอนว่า การขยายตัวของ “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” ได้ทำให้พ่อค้าที่เคยค้าขายด้วย “รถตลาดหรือรถพุ่มพวง” ลดจำนวนลง เหลือแต่ผู้ที่นำสินค้าอาหารสำเร็จรูปไปขายแก่คนงานก่อสร้าง ซึ่งไม่สะดวกที่จะทำอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันเอง

ในหลายกรณี การสร้าง “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” ก็สามารถสร้างเกรดใหม่ของตนเอง ด้วยการมุ่งสู่ “ตลาดเฉพาะกลุ่ม” (Niche Market) เช่น การทำให้กลายเป็นตลาดพืชผักปลอดสารพิษ (ตลาดเฉพาะนี้ประสบผลสำเร็จในเขตเมืองใหญ่มากกว่าในชนบท) ในหลายพื้นที่ ก็ได้ค่อยๆ เปลี่ยนไปสู่การเป็นตลาดขนาดใหญ่ ที่วันติดตลาดนัดอาจจะมีคนเดินซื้อของเป็นเรือนพัน (ในเมืองเชียงใหม่มีตลาดใหม่ที่ใหญ่ขึ้นอย่างทันตาหลายแห่ง) รวมทั้ง “ถนนคนเดิน” สำหรับนักท่องเที่ยวที่คนเมืองเองก็ชอบไปเดินซื้อของ

การขยายตัวของ “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของสังคมไทยครับ และได้ชักจูงให้ผู้คนเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก ผู้ซื้อจำนวนมากก็พึงพอใจกับราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ ผู้ขายประจำก็พึงพอใจกับผลตอบแทน ขณะเดียวกัน ผู้ค้าที่เป็นคนในท้องถิ่นเอง ก็พึงพอใจที่สามารถเข้าถึงตลาดได้ด้วยตนเอง พวกเขาก็สามารถนำพืชผักผลไม้ในสวนหลังบ้านที่มีจำนวนไม่มากพอส่งตลาดใหญ่ มาขายเป็นเงินได้ในตลาดนี้

แม้ว่าจะยังไม่สามารถประเมินมูลค่าการผลิต/การจัดจำหน่ายโดยรวมของ “ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน” แต่หากพิจารณาการขยายตัว ความถี่ และจำนวนคนซื้อในตลาด ก็คาดการณ์เบื้องต้นได้ว่า ต้องมีมูลค่าสูงไม่น้อยกว่าการขายแรงงานรายวันแน่ๆ (แม่ค้าประจำขายขนมทอดธรรมดาๆ ซึ่งขายประมาณ ยี่สิบห้าวันต่อเดือน เคยบอกกับผมว่า รายได้ต่อเดือนก็ส่งลูกเรียนหนังสือได้อย่างสบายๆ)

ในยามที่เศรษฐกิจไม่ดีนัก การจ้างงานลดต่ำลง พี่น้องชาวบ้านได้อยู่รอดได้ด้วยพลังความคิดที่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง น่าชื่นชมมากกว่าบรรดานายทุนที่ลงทุนผิดพลาดแล้วขอความช่วยเหลือจากรัฐครับ