สภาวะการศึกษาไทย ปี 2557-2558

สภาวะการศึกษาไทย ปี 2557-2558

สภาวะการจัดการศึกษาไทยปี 2556-2557 งบการศึกษาภาครัฐขยายตัวจาก 4.9 แสนล้านบาท

ในปีงบประมาณ 2556 เป็น 5.32 แสนล้านบาท ในปี 2558 ขณะที่จำนวนนักเรียน นักศึกษา ผู้สำเร็จการศึกษาเริ่มลดลงในบางระดับ (ประถม มัธยมปลาย) เนื่องจากประชากรวัยเรียน (3-17 ปี) ลดลง โครงสร้างแบบราชการรวมศูนย์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สัดส่วนนักเรียนรัฐบาลต่อเอกชนคงอยู่ที่ระดับ 8 จัดโดยส่วนกลางมากกว่าองค์กรท้องถิ่นและกรุงเทพฯ ในสัดส่วน 84:16 นักเรียนสายสามัญมากกว่าสายอาชีวะ ในสัดส่วน 60:40 ประชากรที่ไม่ได้เรียนและออกกลางคันคงมีสัดส่วนสูง

เด็กที่เข้าชั้น ป.1 ในปี 2545 จำนวน 1.08 ล้านคน ได้อยู่เรียนต่อถึงชั้น ม.6 ปวช.3 ในปี 2556 เพียง 63% จำนวน 6.86 แสนคน ออกไประหว่างทาง 4 แสนคน หรือคิดเป็น 37% ของเด็กรุ่นที่เข้าชั้น ป.1 พร้อมกัน ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนถึงชั้นมัธยมปลาย ทั้งสายอาชีวะและสามัญ ครูส่วนใหญ่ร้อยละ 60 (4.4 แสนคน) จบปริญญาตรี มีครูที่จะจบปริญญาโทเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น (ปี 2556) สัดส่วนนี้ไม่ได้ดีขึ้นจากเมื่อหลายปีก่อน

ปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทย เท่ากับ 9.0 (ปี 2557) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แรงงานส่วนใหญ่ร้อยละ 48.6 ของผู้มีงานทำ มีการศึกษาแค่ระดับประถม และต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งประเทศ จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ทั้งระดับ ป.6 ม.3 และ ม.6 ในวิชาสามัญ 5 วิชา ในปี 2557 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มีความแตกต่างของผลการสอบระหว่างกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ที่มีเศรษฐกิจดีและจังหวัดอื่นที่จนกว่า และระหว่างโรงเรียนใหญ่ที่มีชื่อเสียง นักเรียนเก่งไปสอบเข้ามากกว่า 300 แห่ง และโรงเรียนทั่วไปอีกกว่า 3 หมื่นแห่ง สูงมาก

ปัญหาสถานะเศรษฐกิจสังคมไทย ความสามารถในการแข่งขันเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ไทยมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 และมีพื้นที่การเกษตรใหญ่เป็นอันดับที่ 19 ของโลก แต่พัฒนาคนและเศรษฐกิจได้ค่อนข้างน้อยกว่าประเทศอื่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอยู่ลำดับที่ 32 ของโลก และผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวประชากรอยู่ที่ลำดับ 94 ของโลก ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทย ต่ำกว่าประเทศเอเชียตะวันออกอื่นๆ และสิงคโปร์ มาเลเซีย โดยเฉพาะดัชนีด้านการพัฒนาการศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีนวัตกรรม ผลการทดสอบนักเรียนนานาชาติตามโครงการ PISA ของกลุ่มประเทศ OECD ในวิชาการอ่าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ นักเรียนไทยทำคะแนนเฉลี่ยอยู่อันดับ 50 จาก 65 ประเทศ และต่ำกว่าเวียดนามด้วย ดัชนีสังคมอื่นๆ ไทยก็อยู่ในเกณฑ์ต่ำ เช่น ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของ UNDP ไทยอยู่อันดับที่ 89 ส่วนดัชนีปัญหาทางสังคม เช่น ปัญหาด้านการทุจริตฉ้อฉล ปัญหาอุบัติเหตุทางบก ปัญหาอาชญากรรมความรุนแรง ปัญหาเด็กวัยรุ่นท้อง ปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ไทยก็ติดอันดับสูง

การจัดการศึกษาให้ก้าวทันโลกในศตวรรษที่ 21 ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมข้ามชาติ ที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูงประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้น ต้องการแรงงานที่ใช้ความรู้ทักษะที่คิดวิเคราะห์เป็น มีจินตนาการ และเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ดี ปรับตัวได้เก่ง แก้ปัญหาได้เก่ง การจัดการศึกษาต้องเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ เลิกการสอนบรรยายให้ผู้เรียนท่องจำไปสอบ เพื่อผลิตคนไปเป็นลูกน้อง และคนงานในระบบโรงงานแบบสายพาน เป็นการสอนแนะนำให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยุกต์ใช้เป็น มีความรู้/ทักษะแบบใหม่ในการทำงาน แก้ไขปัญหา และแข่งขันทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น นอกจากปฏิรูปการศึกษาด้านคุณภาพแล้ว ต้องเลิกระบบแพ้คัดออก ผลิตคนส่วนน้อยที่เน้นปริญญา เป็นการกระจายการให้บริการการศึกษาอย่างทั่วถึง เป็นธรรม เพื่อพัฒนาพลเมืองทั้งประเทศตามศักยภาพของแต่ละคนอย่างเต็มที่และเหมาะสม

การปฏิรูปครู อาจารย์ และผู้บริหารการศึกษา ควรยุบคณะสาขาวิชาด้านการผลิตครูให้เหลือน้อยลง คัดเลือกเฉพาะคณะสาขาวิชาที่มีคุณภาพสูงมาควบรวมกัน คัดอาจารย์เก่งๆ มาทำงานร่วมกัน เป็นสถาบันฝึกหัดครูที่เน้นคุณภาพและเน้นการเรียนรู้ ความรู้ และทักษะแบบคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา คัดเลือกนักศึกษาที่เรียนเก่ง และตั้งใจเป็นครูมาเรียน มีทุนการศึกษาให้ และมีตำแหน่งงานให้เมื่อเรียนจบ โดยปรับอัตราเงินเดือนครูโดยเฉพาะเงินเดือนขั้นต้นให้สูงขึ้น

ปฏิรูประบบบริหารครูและโรงเรียนให้เป็นอิสระ เป็นประชาธิปไตยและมีความรับผิดชอบสูงขึ้น ครูมีโอกาสก้าวหน้าตามความสามารถ และความตั้งใจในการทำงาน การปฏิรูปครูอาจารย์ ผู้บริหารสถาบันการศึกษา สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศ และเขตเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น ฟินแลนด์ สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ แต่ต้องทำความเข้าใจทั้งระบบ ขณะเดียวกัน ก็ควรเพิ่มผลตอบแทนให้แรงจูงใจครูควบคู่ไปกับการจัดฝึกอบรม ช่วยเหลือพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง

การปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน และการประเมินผล ปฏิรูปหลักสูตรให้เน้นผลลัพธ์หรือสมรรถนะ เพื่อสร้างให้ผู้เรียนมีความรู้ทักษะคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยุกต์ใช้ แก้ปัญหาเป็น มีหน่วยงาน บุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์สูง คอยติดตามสนับสนุน ฝึกอบรมให้ครูอาจารย์เข้าใจ มีความรู้ ทักษะ ที่สามารถทำตามหลักสูตรที่ปฏิรูปได้จริง ปฏิรูปวิธีการเรียนการสอน และการประเมินผลผู้เรียน ให้เป็นการสอนสอบแบบเน้นการเรียนรู้ภาคปฏิบัติและโลกจริง คิดวิเคราะห์ ประยุกต์ใช้เป็น แก้ปัญหาเป็นอย่างสอดคล้องกับหลักสูตรใหม่

ปฏิรูประบบการบริหารและการแก้ปัญหาที่สำคัญ ปฏิรูประบบบริหารแบบลดอำนาจบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการ จากการบริหารการศึกษาเอง มาเป็นผู้กำกับประสานงานสนับสนุนกระจายอำนาจ และความรับผิดชอบ ให้กับคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด และสมัชชาการศึกษาจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา ชุมชน สถานศึกษาโดยตรงเพิ่มขึ้น จัดระบบกำกับตรวจสอบดูแล และร่วมมือกันทำงานโดยภาคี 4 ฝ่ายคือ หน่วยงานจัดการศึกษา ครูอาจารย์ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ทรงคุณวุฒิ/ประชาชน และองค์กรท้องถิ่น ร่วมมือกันปฏิรูปสถานศึกษาในพื้นที่ ให้สามารถบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ จัดการเรียนการสอน การวัดผลที่มีคุณภาพ ผลิตพลเมืองที่มีความรู้ ทักษะที่พร้อมใช้งานได้ในโลกจริง