การส่งออกน้ำมันดิบไปขายต่างประเทศ

ท่าน รมว.กระทรวงพลังงานให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำลังทบทวนคำสั่งของ
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมไม่ให้ส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศออกไปขายต่างประเทศตั้งแต่เดือน ก.ย.2557 เป็นต้นมา ทั้งนี้ เนื่องจากพบว่าน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากหลายแหล่ง คุณภาพไม่ได้มาตรฐานและไม่เหมาะสมกับการนำมากลั่นกับโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันดิบจากแหล่งวาสนาที่พบใหม่ ซึ่งเริ่มผลิตได้ตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีนี้เป็นต้นมาในอัตราเฉลี่ย 4,000 บาร์เรล/วัน มีปริมาณโลหะหนักผสมอยู่มาก ไม่เป็นที่ต้องการของโรงกลั่นฯในประเทศ และขณะนี้มีน้ำมันดิบเก็บสะสมไว้บนเรือกว่า 7.5 หมื่นบาร์เรลแล้ว
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นให้กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ ผ่านสื่อและโซเชียลมีเดียกันอีกครั้งว่า ทำไมถึงต้องส่งออกน้ำมันดิบที่เราผลิตได้ไปขายต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เรามีน้ำมันดิบไม่พอใช้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีลับลมคมนัยหรือผลประโยชน์อะไรในการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบแอบแฝงอยู่หรือเปล่า
บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์บางฉบับ ถึงขนาดเขียนตำหนินโยบายพลังงานของรัฐบาลว่า ปล่อยปละละเลยให้เอกชนยกเรื่องคุณภาพน้ำมันดิบมาเป็นข้ออ้างในการส่งออกได้อย่างไร ทำไมถึงไม่มีนโยบายให้โรงกลั่นน้ำมันในประเทศปรับปรุงหรือพัฒนาศักยภาพ ให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบที่เราผลิตได้ ซึ่งจะทำให้เราได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลงแทนที่จะต้องไปนำเข้าในราคาแพง ฯลฯ
ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานบางคน ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านพลังงานมาก่อนเลยในชีวิต ก็ออกมาแสดงความเห็นต่างๆ นานาว่า น้ำมันดิบทุกชนิดก็มีโลหะหนักปนเปื้อนอยู่ทั้งสิ้น ทำไมโรงกลั่นฯจึงกลั่นได้ และไปไกลถึงขนาดว่าถ้าโรงกลั่นฯ กลั่นน้ำมันในประเทศไม่ได้ ก็ไม่ควรเปิดให้มีการสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ไปโน่น ซึ่งผมจะไม่ชี้แจงในประเด็นนี้ละครับ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านพูดโดยมีธงของท่านอยู่แล้ว
ความจริงแล้ว เรื่องนี้ได้มีการชี้แจงและอธิบายกันหลายครั้งแล้ว ทั้งจากทางราชการ ผู้ประกอบการ และนักวิชาการที่มีความเข้าใจในธุรกิจปิโตรเลียมอย่างแท้จริง แต่เนื่องจากเป็นเรื่องทางเทคนิคของธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และธุรกิจการกลั่นน้ำมัน จึงเป็นเรื่องที่อาจเข้าใจยาก และต้องทำความเข้าใจกันบ่อยๆ อยู่สักหน่อย
ธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและธุรกิจการกลั่นน้ำมัน เป็นธุรกิจสากลที่มีมาตรฐานการปฏิบัติเหมือนกันทั่วโลก นั่นคือน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแต่ละแหล่งนั้น มีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะอยู่ใกล้กันก็ตาม และโรงกลั่นแต่ละโรงนั้น ก็ได้รับการออกแบบให้กลั่นน้ำมันที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าจะกลั่นน้ำมันดิบที่มีคุณภาพแตกต่างกันมากๆ และกลั่นน้ำมันดิบได้ทุกชนิด โรงกลั่นฯจะต้องลงทุนในการปรับปรุงกระบวนการกลั่นและติดตั้งอุปกรณ์เป็นเงินสูงมาก ซึ่งอาจไม่จำเป็นและไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ตลอดจนน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นก็ต้องคัดเลือกชนิดที่ตรงกับความต้องการของตลาดและกลั่นแล้วได้ประสิทธิภาพสูงสุด คือได้น้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดต้องการในปริมาณที่ดีที่สุด และได้รับผลตอบแทนสูงสุด (high yield/high return)
ดังนั้น โรงกลั่นฯในยุโรปและสหรัฐอเมริกา จึงได้รับการออกแบบให้กลั่นน้ำมันดิบชนิดเบา กำมะถันต่ำ หรือที่เรียกว่า Light Sweet Crude เพราะกลั่นแล้วได้น้ำมันเบนซินเยอะ แต่ดีเซลน้อย ซึ่งตรงกับปริมาณการใช้เพราะประเทศแถบนี้ใช้น้ำมันเบนซินมากกว่าดีเซล และอาจติดตั้งอุปกรณ์ในการกำจัดโลหะหนักไว้ตั้งแต่แรก
ในขณะที่โรงกลั่นฯในแถบเอเชีย มักจะได้รับการออกแบบให้กลั่นน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นน้ำมันดิบชนิดคุณภาพปานกลาง หรือที่เรียกว่า Medium Light Crude ซึ่งกลั่นแล้วได้น้ำมันดีเซลเยอะกว่าเบนซิน ซึ่งตรงกับปริมาณการใช้ในภูมิภาคนี้ที่ใช้ดีเซลมากกว่าเบนซิน และไม่จำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์ในการกำจัดโลหะหนัก เพราะน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางชนิดที่โรงกลั่นแถบนี้นิยมใช้ไม่มีโลหะหนักผสมอยู่ หรือถ้ามีก็มีในปริมาณที่น้อยมาก
ดังนั้น ถ้าประเทศใดผู้ประกอบการขุดพบน้ำมันดิบที่ไม่ตรงกับความต้องการของโรงกลั่นฯ ในประเทศ แต่เป็นที่ต้องการของต่างประเทศ ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการก็คือ ส่งออกน้ำมันดิบชนิดนั้นไปขายต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นการดีสำหรับประเทศชาติและรัฐบาลด้วย เพราะทำให้ประเทศมีรายได้จากการส่งออก และรัฐบาลก็เก็บค่าภาคหลวงและภาษี ได้สูงกว่าบังคับให้ผู้ประกอบการขายให้โรงกลั่นฯในประเทศ เพราะในเมื่อน้ำมันดิบมีคุณสมบัติไม่ตรงกับที่โรงกลั่นฯอยากได้ โรงกลั่นฯก็ต้องรับซื้อในราคาถูก ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้น้อยลง เพราะค่าภาคหลวงและภาษีเก็บเป็นร้อยละของราคาขายและกำไร
ซึ่งเรื่องแบบนี้เขาก็ทำกันทั่วโลกครับ แม้แต่ในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่มีผู้ชอบหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างอยู่เรื่อยๆ เขาก็มีการส่งออกน้ำมันดิบคุณภาพดี แต่ไม่เหมาะสมกับใช้กลั่นในประเทศออกไปขายต่างประเทศ แล้วนำเข้าน้ำมันดิบที่มีคุณภาพเหมาะสมกับโรงกลั่นฯเข้ามากลั่นแทน ก็ไม่เห็นที่ไหนจะมีปัญหาเหมือนกับประเทศไทยเลย
ความจริงเรื่องนี้มันก็ไม่ควรจะเป็นปัญหาหรอกครับ เพราะน้ำมันดิบที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ (95%) ก็ส่งให้โรงกลั่นฯในประเทศหมด ปริมาณส่งออกมีน้อยมาก (ประมาณ 5% เท่านั้น) และน้ำมันดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศก็ไม่ได้มีราคาแพงกว่า เพราะเป็นน้ำมันดิบคนละชนิดกันกับที่ส่งออก (อาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำไป) แต่ที่เป็นเรื่องจน คสช.ต้องมีคำสั่งให้ระงับการส่งออก ก็เป็นเพราะมีคนบางกลุ่มไปพูดจาปลุกระดมผ่านทางโซเชียลมีเดีย จนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่โตว่า มีคนได้ผลประโยชน์จากการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบ น้ำมันไม่พอใช้แล้วไปส่งออกทำไม บางคนมโนไปไกลถึงขนาดว่า ส่งออกไปแล้วไปนำเข้ามาอีก (คิดว่าเป็นน้ำมันดิบชนิดเดียวกัน) กินหัวคิว กินกำไรถึงสองต่อ จึงทำให้เกิดความไม่พอใจและไม่ไว้วางใจในหมู่ประชาชนต่อการบริหารจัดการด้านพลังงานของรัฐบาลและเอกชน
เรื่องอย่างนี้ถ้าทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ อยากตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส แต่ขาดองค์ความรู้จริงๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ก็ชี้แจงกันไป แต่ที่ชี้แจงก็แล้ว เอาหลักฐานข้อมูลเอกสารมาให้ดูก็แล้ว ยังพูดซ้ำๆ เป็นแผ่นเสียงตกร่องอยู่ได้เนี่ย
ผมก็ไม่ทราบว่า โง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ !!!
-------------
มนูญ ศิริวรรณ







