โหรไวท์เฮ้าส์

โหรไวท์เฮ้าส์

เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายคือผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เบื้องหลังความสำเร็จของประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 40 โรนัลด์ เรแกน

(Ronald Reagan) อาจเป็นผู้หญิง 2 คน

โรนัลด์ เรแกน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเมื่อ 20 มกรา 1981 ท่ามกลางอาถรรพ์ที่ว่า ประธานาธิบดีที่ชนะเลือกตั้งในปีที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะถูกลอบสังหาร วันที่ 30 เมษา เพียง 69 วันหลังดำรงตำแหน่ง เรแกนถูกลอบยิงโดยจอห์น ฮิกเลย์ (John Hinckley) ที่ รร.ฮิลตันในวอชิงตัน กระสุนเข้าชายโครงขวา-ทะลุปอด แต่เรแกนรอดมาได้

แนนซี่ เรแกน (Nancy Reagan) สตรีหมายเลข 1 เสียขวัญมาก นับแต่นั้น เธอทำตัวเป็น “ผู้ปกป้อง” ประธานาธิบดีโดยตลอด แนนซี่ควบคุมช่องทางการเข้าหา-ตารางเวลา ทั้งเข้าไปมีอิทธิพลต่อบทบาทและการตัดสินใจ จนภาพเธอกลายเป็นผู้มีอำนาจเบื้องหลังไป

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนไม่คิดและไม่รู้ว่าเธอทำ จนกระทั่งมันถูกเปิดโปงในปีสุดท้ายของเรแกน นั่นคือการขอคำปรึกษาจากนักโหราศาสตร์ !

พฤษภา 1988 หนังสือ For the Record : From Wall Street to Washington วางจำหน่าย ผู้เขียนคือโดนัลด์ รีแกน (Donald Regan) อดีตประธานและซีอีโอของเมอร์ริล รินช์ (Merrill Lynch) ผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังสมัยเรแกน 1 และหัวหน้าคณะทำงานในสมัยเรแกน 2

หนังสือเปิดโปงพฤติกรรมของแนนซี่ ที่ทำอะไรต้องปรึกษานักโหราศาสตร์ตลอด โดนัลด์บรรยายว่า “ทุกการกระทำและการตัดสินใจสำคัญๆ ของประธานาธิบดี ต้องถูกตรวจสอบล่วงหน้าจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ซานฟรานซิสโก ผู้ซึ่งผูกดวงเพื่อให้แน่ใจว่า ดวงดาวเอื้อให้สิ่งนั้นประสบผลสำเร็จ” เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ กำหนดเวลาเดินทางของ Air Force 1 ฯลฯ

อะไรคือสาเหตุแห่งการเปิดโปง ? ทุกวันแนนซี่ต้องโทรหานักโหราศาสตร์ เพื่อเช็คดูว่าดี-ไม่ดี ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อตารางเวลาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน ย่อมสับสนและทำงานลำบาก จึงนำมาซึ่งความขัดแย้งกัน ในที่สุด เมื่อเกิด Iran-Contra affair ปี 87 โดนัลด์ต้องการให้เรแกนแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน แต่แนนซี่ไม่อนุญาต เพราะนักโหราศาสตร์เตือนไว้ ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง โดนัลด์ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง

เมื่อหนังสือวางตลาด ย่อมส่งผลกระทบอย่างมาก โดนัลด์บอกเป็นนัยว่า โหราศาสตร์มีผลต่อตารางเวลาของประธานาธิบดีอย่างมาก มันอาจแปลได้ว่า อเมริกาอยู่ใต้การควบคุมของนักโหราศาสตร์ เหมือนที่ The New York Post พาดหัวว่า Astrologer Runs the White House”

ปี 89 เมื่อเรแกนลงจากตำแหน่ง แนนซี่ออกหนังสือ My Turn : The Memoirs of Nancy Reagan เธออุทิศ 1 บทเพื่อแก้ข้อครหาที่ว่า พึ่งพาโหราศาสตร์ โดยกล่าวว่า “โหราศาสตร์ทำให้อารมณ์เธอสงบ ยามที่รู้สึกกลัวหลังจากที่สามีตัวเองเกือบตาย โหราศาสตร์มีเหตุผลหรือเปล่า (ที่ทำให้เหตุการณ์ไม่เกิดขึ้น) ? ฉันไม่เชื่อจริงๆ ว่ามันมี แต่ก็ไม่เชื่อจริงๆ ว่า มันไม่มี”

แนนซี่ยังพยายามลดบทบาทของโหราศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับงานของประธานาธิบดี โดยยืนยันว่า นักโหราศาสตร์ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทำนายเหตุการณ์

หนังสือของแนนซี่ทำให้ใครคนหนึ่งตกที่นั่งลำบาก ใครคนนั้นคือโจน ควิกเลย์ (Joan Quigley) นักโหราศาสตร์ของเธอนั่นเอง โจนพบแนนซี่ครั้งแรกช่วงทศวรรษ 70 เธอเล่าว่า เป็นคนเลือกเวลาให้เรแกนดีเบตกับจิมมี่ คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) รวมถึงดีเบตอีก 2 ครั้งกับวอลเตอร์ มอนเดล (Walter Mondale)

โจนรู้สึกว่า แนนซี่ทอดทิ้งผลงานของเธอและความสำคัญของโหราศาสตร์ นั่นทำให้เธอต้องเขียนหนังสือของตัวเอง What Does Joan Say ? : My Seven Years as White House Astrologer to Nancy and Ronald Reagan ซึ่งตีพิมพ์ในปี 90

หลังจากเรแกนถูกลอบสังหาร แนนซี่โทรหาเธอเพื่อขอให้เป็นที่ปรึกษาด้านโหราศาสตร์อย่างลับๆ โจนตอบตกลง หน้าที่ของเธอก็เป็นดังที่โดนัลด์ว่าไว้ ตรวจสอบเวลาที่กระทำการต่างๆ ว่า ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

หนังสือยังบอกเล่าเรื่องราวหลายอย่าง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราทราบกันดีว่า เรแกนขึ้นเป็นประธานาธิบดีในยุคที่สงครามเย็นรุนแรงที่สุด สหรัฐ-โซเวียต เป็นปฏิปักษ์ต่อกันทุกด้าน เรแกนถึงกับเรียกสหภาพโซเวียตว่า “อาณาจักรปีศาจ (Evil Empire)” ในการปาฐกถาที่ National Association of Evangelicals เมื่อ 8 มีนา 83

แต่เมื่อเข้าสมัยที่ 2 ท่าทีเรแกนเปลี่ยนไป นั่นเพราะอิทธิพลของแนนซี่ เธอสนับสนุนให้เขาเปิดความสัมพันธ์กับมิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) จนในที่สุด นำไปสู่การลงนามสนธิสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ (INF Treaty) เมื่อ 8 ธันวา 1987 ที่ทำเนียบขาว

โจนเคลมว่า คำแนะนำของเธอ (ผ่านแนนซี่) คือส่วนผสมอันจำเป็นสำหรับความสำเร็จส่วนใหญ่ของเรแกน เธอย้ำถึงคำแนะนำที่ชักชวนให้เรแกนหยุดมองโซเวียตเป็นอาณาจักรปีศาจ แปลง่ายๆ เธอบอกโลกว่า ตัวเองอยู่เบื้องหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์สหรัฐ-โซเวียต รวมถึงการพังทลายของสหภาพโซเวียตด้วย

จริงหรือไม่ ? คงมีแต่เธอกับแนนซี่ที่รู้ แต่ด้วยความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง มันน่าจะมีเค้ามูลอยู่บ้าง ถ้าผูกดวงวันลงนาม INF Treaty ที่โจนน่าจะเลือกให้ พฤหัสมีนทำมุม 120 สนิทกับเสาร์พิจิก ขณะที่เสาร์กุมมฤตยูสนิทเช่นกัน เสาร์-มฤตยูคือการทำลายโครงสร้าง-กฎเกณฑ์เดิม พฤหัสคือความก้าวหน้า-การเปิดกว้าง มันบอกถึงการสร้างสิ่งใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนา โจนรู้เรื่องวัฏจักรดาว (Planetary Cycle) ดีทีเดียว

เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ ? (1) โจนเคยให้สัมภาษณ์ The Washington Post ว่า “มันไม่ใช่การส่องลูกแก้ว แต่เป็นงานเทคนิค ฉันใช้โหราศาสตร์การเมือง นั่นคือฉันต้องทำแผนภาพ (Chart) ของดวงปูรณมี (Full Moon) ดวงอมาวสี (New Moon) ดวงเมื่อดาวยกข้ามราศี (Ingress) ดวงคราส (Eclipse) ดวงเมื่อดาวกุมกัน (Great Conjunction) และดวงวงรอบ (Cycle) ของดาวใหญ่ทั้งหมด”

เทคนิคเหล่านี้สืบทอดมาตั้งแต่ยุคเปอร์เซีย กรีก อาหรับ ฯลฯ นี่ยังไม่นับว่า โจนต้องดูดวงเมืองอเมริกาและดวงเรแกนตลอด ข้อนี้ต่างจากหมอดูบ้านเรามาก ดูแค่ดาวจร (Transit) กับทักษา ก็ทายกันได้มากมาย โหราศาสตร์ถ้าทำแบบลึกซึ้งจริงจัง เป็นงานยากที่ต้องใช้พลังและเวลามหาศาล

(2) ความนิยมชมชอบในโหราศาสตร์ ไม่เกี่ยวข้องกับความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยี แม้ในอเมริกา ก็ยังมีผู้สนใจดวงและนักโหราศาสตร์มากมาย ผู้ศึกษาสนใจโหราศาสตร์บ้านเราจึงไม่นับว่างมงาย 

Dr.Nicholas Campion กล่าวในหนังสือ History of Western Astrology ว่า 70% ของชาวตะวันตกอ่านคอลัมน์ดวง กว่า 90% รู้ว่าอาทิตย์ในดวงชะตาอยู่ราศีอะไร (Sun Sign) และ 50% เชื่อว่า ตนเองมีบุคลิกภาพตามราศีนั้น

(3) โหรไวท์เฮ้าส์ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ มันแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจทางการเมืองกับนักโหราศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้มีมาตั้งแต่โบราณ โจนก็ไม่ต่างจากโหรหลวง (Court Astrologer) ในศตวรรษที่ 16-17 ที่โหราศาสตร์การเมือง (Political Astrology) เฟื่องฟูมากในราชสำนักยุโรป ผู้นำ-ผู้มีอำนาจก็คือคน ตราบใดที่คนยังมีอารมณ์ความรู้สึก โหราศาสตร์ก็ยังสำคัญกับพวกเขาเสมอ

แม้แต่บุรุษ-สตรีผู้ทรงอำนาจที่สุดในโลก ยังต้อง “รับฟัง” โหราศาสตร์ แล้วคุณล่ะ ?