แนวร่วม Bersih : ย่างก้าวที่สำคัญของการเมืองในมาเลเซีย

เมื่อวันที่ 29-30 สิงหาคมที่ผ่านมา มีการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่ใช้ชื่อว่า Bersih 4.0 เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซีย
โดยการชุมนุมครั้งนี้จัดขึ้นโดย “แนวร่วมเพื่อการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม” (Coalition for Clean and Fair Elections) หรือเป็นที่รู้จักกันว่า “Bersih” ซึ่งแปลว่า “ความสะอาด” หรือ “ความบริสุทธิ์” อันย่อมาจากชื่อภาษามลายูว่า Gabungan Pilihanraya Bersih dan Adil การชุมนุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และเป็นปรากฏการณ์สำคัญ ที่สะท้อนให้เห็นการเติบโตของการเมืองภาคประชาสังคม และเค้าลางการต่อสู้ทางการเมืองของมาเลเซียในอนาคตได้อย่างน่าสนใจ
แนวร่วม Bersih มีจุดเริ่มต้นจากนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม และนักการเมืองฝ่ายค้านบางส่วน ที่กังขาต่อระบบการเลือกตั้งในมาเลเซียว่า เพราะเหตุใดพรรครัฐบาลซึ่งนำโดยพรรคอัมโนถึงสามารถรักษาชัยชนะไว้ได้โดยตลอด ไม่ว่าประชาชนจะลดความนิยมต่อรัฐบาล และหันมาสนับสนุนพรรคฝ่ายค้านเพิ่มขึ้นเท่าไรก็ตาม พวกเขาจึงริเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่ตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้ง คือ “ขบวนการชาวมาเลเซียเพื่อการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม” (The Malaysian for Free and Fair Election: MAFREL) ใน ค.ศ.2003 และพัฒนาไปสู่ “คณะกรรมการร่วมเพื่อปฏิรูปการเลือกตั้ง” (Joint Action Committee for Electoral Reform) ใน ค.ศ.2005 และได้ยกระดับเป็นองค์กร Bersih ในปีถัดมา
การเคลื่อนไหวของแนวร่วม Bresih ในระยะแรกยังมีลักษณะเป็นแบบแผนตายตัวอยู่มาก โดยมุ่งเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปกระบวนการเลือกตั้ง เช่น ต้องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ออกเสียง ทั้งในและนอกประเทศ ต้องจัดการลงคะแนนผ่านไปรษณีย์ ต้องจัดหาหมึกพิมพ์ลายนิ้วมือที่ลบออกยากมาใช้กับผู้ลงคะแนนเสียง (เพราะที่ผ่านมาการใช้หมึกที่ล้างออกง่ายทำให้มีผู้ฉวยโอกาสมาลงคะแนนซ้ำ) ต้องต่อต้านการทุจริตเลือกตั้งและหยุดเล่นการเมืองสกปรก ต้องตั้งองค์กรที่ปฏิรูประบบการเลือกตั้ง เป็นต้น การเคลื่อนไหวในระยะนี้จึงยังไม่เข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากนัก
ต่อมาแนวร่วม Bersih ได้ปรับการเคลื่อนไหวจาก “ห้องแถลงข่าว” มาสู่การเคลื่อนไหว “บนท้องถนน” จึงมีประชาชนมาสนับสนุนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาริเริ่มจัดชุมนุมทางการเมือง ขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2007 เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และได้จัดชุมนุมใหญ่อีกสองครั้ง คือ การชุมนุม Bersih2.0 เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2011 และการชุมนุม Bersih 3.0 เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.2012 ซึ่งแต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะครั้งหลังถือเป็นการชุมนุมทางการเมืองภาคประชาสังคม ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองมาเลเซีย โดยประมาณกันว่า มีผู้เข้าร่วมกว่า 100,000 คน ขณะที่บางแหล่งข้อมูลอ้างว่ามีผู้เข้าร่วมถึง 300,000 คน
ส่วนการเคลื่อนไหว Bersih 4.0 เกิดขึ้นเพราะชาวมาเลเซียจำนวนมาก ไม่พอใจที่พบว่ามีการโอนเงินกว่า 20,000 ล้านบาท จากกองทุน “1 Malaysian Development Bhd” ของรัฐบาลเข้าสู่บัญชีส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ.2013 โดยนายกฯนาจิบ แถลงอย่างคลุมเครือว่า เงินก้อนนั้นโอนมาจากผู้สนับสนุนทางการเมือง ที่ไม่ประสงค์ออกนามจากตะวันออกกลาง ภาวะเช่นนี้ทำให้แนวร่วม Bersih จัดชุมนุมใหญ่ขึ้น และเรียกร้องให้นายนาจิบ ราซัค ลาออกจากตำแหน่ง ความร้อนแรงของประเด็นดังกล่าว ทำให้มีผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก โดยผู้จัดชุมนุมอ้างว่ามีผู้เข้าร่วมกว่า 200,000 คน แต่ฝ่ายรัฐบาลเย้ยว่า ผู้จัดชุมนุมกล่าวเกินจริง เพราะมีผู้เข้าร่วมไม่เกิน 30,000 คนเท่านั้น
ไม่ว่าผู้ชุมนุม Bersih 4.0 จะมีจำนวนจริงแท้เท่าใด แต่นี่คือย่างก้าวสำคัญของการเมืองภาคประชาสังคมมาเลเซีย ที่ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายนาจิบ ราซัค และในขณะที่พรรคฝ่ายค้านยังไม่สามารถใช้พื้นที่ในสภาฯ สั่นคลอนรัฐบาลมาเลเซียที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนานได้มากนัก การเคลื่อนไหวของแนวร่วม Bersih กลับมีพลังมากพอที่จะสร้างความวิตกให้แก่นายนาจิบ ราซัค และรัฐบาลมาเลเซียอยู่ไม่น้อย ดังเห็นได้จากการที่บรรดานักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตั้งแต่ระดับแกนนำจนถึงนักการเมืองหน้าใหม่ ต่างพากันออกมากล่าวโจมตีการชุมนุมครั้งนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีความพยายามจากนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่เตรียมการจัด “ม็อบมาชนม็อบ” ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ความสำเร็จของแนวร่วม Bersih ในการเคลื่อนไหวที่ผ่านๆ มา มิได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากปัจจัยต่างๆ ที่สั่งสมมา เช่น การที่แนวร่วมนี้นำโดยนักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชน และได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองฝ่ายค้าน ทำให้พวกเขาผสมผสานรูปแบบการทำงานทางการเมืองของคนสองกลุ่มนี้เข้าด้วยกัน โดยแนวร่วม Bersih สามารถขับเคลื่อนขบวนการประชาสังคมได้อย่างรวดเร็ว ตามแบบองค์กรพัฒนาเอกชน ขณะเดียวกัน ก็สามารถใช้ประโยชน์จากฐานมวลชนอันกว้างขวาง ของพรรคการเมืองได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ การที่แนวร่วม Bersih เคลื่อนไหวโดยก้าวข้ามเรื่องเชื้อชาติ อันเป็นรากเหง้าความขัดแย้งในมาเลเซียมาอย่างยาวนาน ก็ทำให้ชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติเข้าร่วมชุมนุมได้เป็นอย่างดี และประการสุดท้ายคือ ผู้ขับเคลื่อนแนวร่วม Bersih สามารถนำเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ มาใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี เช่น การส่งข้อมูลต่างๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปสู่ประชาชนอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว โดยเฉพาะการนัดหมายสถานที่และเวลา ทั้งในการชุมนุมอย่างรวดเร็วที่เรียกว่า “Flash Mob” และการชุมนุมใหญ่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้แนวร่วม Bersih ขยายตัวไปได้อย่างกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ
หลังการชุมนุม Bersih 4.0 แม้ว่านายนาจิบ ราซัค ยังยืนกรานว่าจะไม่ยอมลาออก และพรรครัฐบาลยังสนับสนุนนายนาจิบต่อไป แต่การที่แนวร่วม Bersih ยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวจนกว่านายนาจิบจะลาออก และเข้าสู่การไต่สวนอย่างโปร่งใส ก็ทำให้การเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่กุมอำนาจมายาวนาน กับฝ่ายประชาสังคมที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จะกลายเป็นฉากสำคัญที่เกิดขึ้นในเวทีการเมืองมาเลเซียอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
----------------------
อภิเชษฐ กาญจนดิฐ
นักวิจัยฝ่ายนโยบายชาติและความสัมพันธ์ข้ามชาติ สกว.







