ความผิดการซูมหนัง และข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อคนพิการ

พระราชบัญญัติที่ใช้คุ้มครองลิขสิทธิ์ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันคือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 โดยเพิ่มการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิ และมาตรการทางเทคโนโลยี ด้วยการกำหนดให้การกระทำที่เป็นการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ และการละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี เป็นความผิดทางอาญา และมีโทษกำหนดไว้ และเพิ่มบทบัญญัติข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์อีกสองมาตรา คือมาตรา 32/1 บัญญัติให้เจ้าของที่ได้กรรมสิทธิ์มาโดยชอบ สามารถขายต้นฉบับหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์ได้ โดยไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ และมาตรา 32/2 บัญญัติให้การทำซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้มาโดยชอบ ที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์โดยชอบทำงานได้ตามปกติ ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
อย่างไรก็ตาม แม้ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ก็ยังไม่ครอบคลุมการละเมิดลิขสิทธิ์อีกรูปแบบหนึ่ง คือการทำซ้ำโดยการบันทึกเสียงหรือภาพ หรือทั้งเสียงทั้งภาพจากภาพยนตร์ ในระหว่างการฉายในโรงภาพยนตร์ ทั้งภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วนำไปทำซ้ำในสื่อต่างๆ เช่น แผ่นซีดีหรือแผ่นดีวีดี ออกจำหน่าย ที่เรียกกันว่าการซูมหนัง แล้วก๊อปปี้ลงแผ่นซีดีหรือดีวีดีออกขายเป็นหนังซูมแข่งกับหนังโรง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ โดยอ้างว่าเป็นการทำซ้ำเพื่อประโยชน์ของตนเอง
นอกจากนี้ ก็ยังไม่มีบทบัญญัติข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์ของคนพิการ ทั้งภายใต้อนุสัญญา ว่าด้วยสิทธิของคนพิการแห่งองค์การสหประชาชาติ พ.ศ.2548 (Convention on the Rights of Persons with Disabilities) และร่างสนธิสัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO) คือ Draft WIPO Treaty for improved Access for Blind ,Visually impaired and other Reading Disable Persons ซึ่งกำหนดข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์สำหรับคนพิการ ทางสายตา คือตาบอด พิการทางการมองเห็น และที่มีปัญหาในการอ่านหนังสือ
ต่อมาจึงมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 อีกฉบับหนึ่งให้ครอบคลุมถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการซูมหนังแล้วนำไปทำซ้ำในสื่อต่างๆ ออกจำหน่ายแข่งกับภาพยนตร์ที่ฉายในโรงภาพยนตร์ และกำหนดโทษทางอาญาไว้ และเพิ่มข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์ได้ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว คือพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558 วันเดียวกับ พระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 แต่มีผลใช้บังคับเร็วกว่าพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2558
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 คือ เพิ่มเติมมาตรา 28/1 ที่บัญญัติให้การทำซ้ำโดยการบันทึกเสียงหรือภาพ หรือทั้งเสียงและภาพจากภาพยนตร์อันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ ในโรงภาพยนตร์ตามกฎหมาย ว่าด้วยภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 (5) ในระหว่างการฉายในโรงภาพยนตร์ ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ และมิให้นำมาตรา 32 วรรคสอง (2) มาใช้บังคับ โดยกำหนดโทษไว้ใน มาตรา 69/1 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสี่ปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงแปดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสรุปได้คือ การซูมหนังแม้เพียงบางส่วนก็ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ และจะนำข้ออ้างว่าบันทึกไว้ใช้ส่วนตัวเพื่อให้พ้นผิดไม่ได้
สำหรับบทบัญญัติข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อคนพิการ ได้บัญญัติเพิ่มเป็น (9) ของวรรคสองของมาตรา 32 ทำซ้ำ หรือดัดแปลงแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์ของคนพิการ ที่ไม่สามารถเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์ อันเนื่องมาจากความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน สติปัญญา หรือการเรียนรู้ หรือความบกพร่องอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยต้องไม่เป็นการกระทำเพื่อหากำไร ทั้งนี้ รูปแบบของการทำซ้ำหรือดัดแปลง ตามความจำเป็นของคนพิการ และองค์กรผู้จัดทำ รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการ เพื่อทำซ้ำหรือดัดแปลงให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา โดยต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 32 วรรคหนึ่ง คือต้องเป็นไปโดยไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร จึงไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่อประโยชน์ของคนพิการไว้กว้างกว่าร่างสนธิสัญญาของ WIPO ที่กำหนดขอบเขตคนพิการเน้นที่คนตาบอด พิการทางการมองเห็น และที่มีปัญหาในการอ่านหนังสือ แต่ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทย ครอบคลุมความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน สติปัญญา หรือการเรียนรู้ และยังเผื่อไว้สำหรับความบกพร่องอื่นตามที่จะกำหนดในกฎกระทรวงในอานาคตด้วย







