เมื่อมังกรขยับ

เมื่อมังกรขยับ

หากถามว่า ประเด็นใดที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์อย่างผู้เขียนกังวลใจ

และเป็นความเสี่ยงสูงสุดของเศรษฐกิจโลกใน 3-5 ปีข้างหน้าหาใช่แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ โอกาสที่ยูโรโซนจะแตก หรือวิกฤตการณ์การเงินในตลาดเกิดใหม่แต่อย่างใดไม่

แต่เป็นความผันผวนและแนวนโยบายของเศรษฐกิจ ยักษ์ใหญ่อันดับสองของโลกอย่างจีน ในการบริหารจัดการให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) เพราะหากจีนทำพลาด วิกฤติขนาดใหญ่ที่สามารถลุกลามกลายเป็นโรคติดต่อ (Contagion) เช่นเดียวกับวิกฤติต้มยำกุ้ง หรือแฮมเบอร์เกอร์ก็อยู่แค่เอื้อม

ดังนั้น เมื่อธนาคารกลางจีน ปรับวิธีการคำนวณเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนค่าลง ในวันที่ 11-12 สิงหาคม รวมประมาณ 4% และทำให้ค่าเงินหยวนต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี ทำให้ผู้เขียนกังวลว่า นโยบายดังกล่าวอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามค่าเงินระลอกสอง และทำให้เศรษฐกิจเอเชียโดยรวม รวมถึงไทยถูกกระทบได้

ฉะนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมถึงความเสี่ยงดังกล่าว ผู้เขียนจึงวิเคราะห์ถึงประเด็นการลดค่าเงินหยวน ทั้งสาเหตุและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เอเชีย รวมทั้งไทย โดยขอแบ่งการวิเคราะห์เป็น 3 ประเด็น

ประเด็นที่หนึ่ง ได้แก่ สาเหตุของการลดค่าเงินหยวนในระยะสั้น โดยหลายฝ่ายอาจตั้งคำถามว่า ทำไมจีนเพิ่งมาลดค่าเงินหยวน หลังจากที่ปล่อยให้ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมากกว่า 20 ประเทศลดค่าเงิน และ/หรือลดดอกเบี้ยเพื่อหวังผลค่าเงินอ่อนตั้งแต่ต้นปี แต่การที่จีนยืนเป็นกระต่ายขาเดียว ตรึงเงินหยวนไว้ที่ประมาณ 6.1-6.3 หยวนต่อดอลลาร์ มาตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะจีนต้องการนำสกุลเงินของตน เข้าเป็นหนึ่งในห้าสกุลหลักในการคำนวณเงินค่ากลางของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือที่เรียกว่าสกุลเงิน SDR (Special Drawing Right) ที่ ณ ปัจจุบันมีเพียงดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน และปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษเท่านั้น

แต่ความตั้งใจดังกล่าวยังไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะIMF ชะลอการตัดสินใจให้เงินหยวนเข้าเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ใช้คำนวณ SDR ประกอบกับที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนชะลอกว่าคาด โดยเฉพาะการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่จีนตรึงค่าเงินไว้ ในขณะที่ประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ลดค่าเงินต่อเนื่อง จีนจึงสูญเสียความสามารถแข่งขันไป ดังนั้น หากมองในด้านความจำเป็นระยะสั้น การลดค่าเงินหยวนครั้งนี้ จึงเป็นการลดตามคู่แข่งที่ได้ลดไปแล้วก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม เงินหยวนที่อ่อนค่าลงรุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีแรงเทขายจากนักลงทุนที่วิตกกังวล รวมถึงต้องการเก็งกำไรด้วยเช่นกัน จนทำให้ทางการจีนต้องยืนยันว่า พร้อมจะเข้าดูแลเพื่อให้ค่าเงินหยวนเป็นไปตามกลไกตลาด ทั้งนี้ การที่จีนมีระดับทุนสำรองมาก (ประมาณ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์) ทำให้จีนมีเครื่องมือเพียงพอในการปกป้องค่าเงินหยวนได้

ประเด็นที่สอง สำหรับมุมมองในระยะยาว อาจต้องวิเคราะห์โดยถอยออกมามองในภาพใหญ่ เราจะเห็นความจำเป็นของจีนในการใช้นโยบายค่าเงินหยวนอ่อน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ เนื่องจากจีนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงใน 3 ด้านพร้อมกัน ด้านที่หนึ่ง ได้แก่ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ จากที่เคยขยายตัวด้วยการลงทุน มาเป็นการขยายตัวด้วยการบริโภคเป็นหลัก ด้านที่สอง ได้แก่ ปัญหาฟองสบู่ในตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาภาคการเงินเงา (Shadow Banking) อันเป็นผลจากการกระตุ้นการบริโภคและลงทุน รวมถึงปลุกกระแสเก็งกำไรมากเกินไป และด้านที่สาม ได้แก่ การเปิดเสรีทางการเงินผ่านการผลักดันให้เงินหยวนใช้ได้อย่างสากลในเวทีโลก (Internationalization)

จะเห็นได้ว่า การแก้ปัญหาทั้งสามด้าน ต้องใช้นโยบายต่างกัน โดยการบริโภคที่ชะลอตัว ตามทฤษฎีแล้วจะต้องแก้ด้วยการกระตุ้นผ่านการลดดอกเบี้ย แต่หากจีนลดดอกเบี้ยมากกว่าปัจจุบัน ก็อาจทำให้ปัญหาฟองสบู่ที่โป่งพองต่างๆ ปะทุขึ้นมาอีกได้ ดังนั้น ทางแก้ที่เป็นเหตุเป็นผลในระยะต่อไปก็คือ ค่อยๆ ผลักดันให้เงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อกระตุ้นภาคส่งออก และทำให้การเคลื่อนไหวของค่าเงินสะท้อนภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน (ที่ชะลอตัว) มากยิ่งขึ้น

ประเด็นสุดท้าย ได้แก่ การวิเคราะห์ผลกระทบจากการที่เงินหยวนอ่อนค่า โดยผู้เขียนขอแบ่งการวิเคราะห์เป็น 3 เขตเศรษฐกิจ อันได้แก่ สหรัฐ เอเชีย และไทย

ในกรณีของสหรัฐ เงินหยวนที่มีทิศทางอ่อนค่าระยะยาวนี้ อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และขึ้นช้ากว่าที่เคยคาดไว้เดิม สาเหตุเป็นเพราะที่ผ่านมา สหรัฐนำเข้าจากจีนมากกว่าส่งออกไปยังจีนมาก และการขาดดุลการค้าของสหรัฐต่อจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์จะทรงตัวก็ตาม ดังนั้น หากหยวนอ่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ก็จะยิ่งทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าจีนมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอลง

ดังนั้น การที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหยวนของจีน ที่เป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ)  จึงถือเป็นการทำให้นโยบายการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้นโดยพฤตินัย ทำให้ Fed ไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

ในกรณีของเอเชีย การที่จีนลดค่าเงินหยวน น่าจะทำให้เงินสกุลเอเชียที่มีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่แล้วยิ่งอ่อนค่ามากขึ้น เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเอเชีย หากเอเชียไม่อ่อนค่าตาม อาจทำให้เอเชียสูญเสียความสามารถในการแข่งขันได้ ทั้งนี้ เป็นไปได้ที่เงินสกุลเอเชีย เช่น มาเลเซียริงกิต อินโดนิเซียรูเปียห์ ฟิลิปปินส์เปโซ รวมถึงไทยบาท อาจอ่อนค่าลงไปอีก 2-3% จากระดับปัจจุบัน

ในกรณีของไทย นอกจากประเด็นเรื่องค่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่าลงอีกจากระดับปัจจุบันแล้ว เงินหยวนที่อ่อนค่ายังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 2 ประการหลัก คือ หนึ่ง ทำให้ไทยส่งออกไปจีนได้ลดลง โดยหากนับจากต้นปีถึงเดือนมิถุนายน การส่งออกของไทยไปจีน หดตัวแล้วกว่า 7% ซึ่งหากหยวนอ่อนก็น่าจะยิ่งทำให้การส่งออกของไทยไปยังจีนหดตัวมากยิ่งขึ้น และสอง การลดค่าเงินหยวนอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงตาม เงินบาทที่อ่อนค่าลงมาก อาจทำให้ราคาสินค้านำเข้าโดยเฉพาะน้ำมันแพงขึ้น ทำให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ดังนั้น โอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นในปีนี้คงทำได้ยากขึ้น

เมื่อมังกรขยับ โลกทั้งใบก็ได้รับผลกระทบ นักธุรกิจและนักลงทุนทั้งหลาย โปรดพึงระวัง