วิกฤติกรีซ : เมื่อกรีซปลุก “ผีนาซี” เยอรมนีจึงแข็งกร้าว

 วิกฤติกรีซ : เมื่อกรีซปลุก “ผีนาซี” เยอรมนีจึงแข็งกร้าว

ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2004 ถือเป็นช่วงเวลาที่คนกรีกทั้งประเทศมีความสุขกันถ้วนหน้า

เรียกว่าปาร์ตี้อย่างสนุกสนานมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เพราะทีมชาติฟุตบอลกรีซสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ EURO 2004 แบบช็อคโลกลูกหนังทั้งทวีป

คนที่ได้รับเครดิตอย่างท่วมท้น ต่อความสำเร็จทางการกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศในครั้งนั้น ก็คือโค้ช อ็อตโตเรห์ฮาเกล กลายเป็นคนเยอรมันที่ชาวกรีกหลงรักมากที่สุด ถึงขนาดขนานนามว่า King Otto” ซึ่งเป็นชื่อของอดีตกษัตริย์กรีกพระองค์แรก ที่มีเชื้อสายเยอรมันเมื่อ 180 ปีก่อน

ณ เวลานั้นว่ากันว่า ความรู้สึกของคนกรีกทั้งประเทศที่มีต่อเยอรมนี ล้วนแต่เป็นไปอย่างสวยงามจนถึงขั้นเชื่อ ว่า “God is German” พระเจ้าเป็นคนเยอรมันด้วยซ้ำ

หนึ่งทศวรรษต่อมา คนกรีกทั้งประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงิน และเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงขั้นประเทศกำลังล้มละลายเพราะถังแตกไม่มีเงินหล่อเลี้ยงประเทศ ซ้ำร้ายเป็นหนี้สิ้นจำนวนมหาศาล ชนิดที่ว่าต่อให้มีโซเครติส, เพลโต, อริสโตเติล และบรรดาสุดยอดนักปราชญ์ทั้งหลาย (กลับชาติมาเกิด) มาช่วยกันระดมความคิดหาทางออกให้กับประเทศ ก็อาจจะยากเกินจะเยียวยาหาทางออกได้อย่างง่ายๆ

ผู้นำและชาวกรีกส่วนใหญ่ปักใจเชื่อมั่นว่า การที่ประเทศมีวันนี้ได้ วันที่วิกฤติการเงินลุกลามจนหนักหนาสาหัสสากรรจ์ถึงขั้นล้มละลายเช่นนี้  เป็นเพราะความใจแข็งใจจืดใจดำของผู้นำเยอรมันที่ชื่อ อังเกล่า แมร์เคิล มากที่สุด จนถึงขั้นจินตนาการสร้างภาพพจน์โยงใยผู้นำเยอรมัน ให้เปรอะเปื้อนกับชื่อของลัทธินาซีแบบไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่สงครามโลกได้ผ่านมาแล้ว 70 ปี

จุดเริ่มของปัญหา เกิดขึ้นภายหลังจากที่นาย อเล็กซิส ซีปราส ชนะเลือกตั้ง และก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่เมื่อช่วงต้นปีนี้ ภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่สุดของผู้นำวัย 40 ปีคนนี้ ก็คือการแก้ไขปัญหาหนี้สินกว่า 2.4 แสนล้านยูโร (เกือบ 9 ล้านล้านบาท) จุดยืนของรัฐบาลกรีซซึ่งถือว่ามีแนวคิดซ้ายจัด ก็คือคัดค้านมาตรการ “รัดเข็มขัด” ที่กลุ่มเจ้าหนี้ใช้บังคับกรีซเพื่อแลกกับการได้รับเงินกู้ก้อนใหม่ สำหรับการหล่อเลี้ยงระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ

กล่าวได้ว่า แท็กติกหรือกลยุทธ์สำคัญของผู้นำกรีซที่คนนี้เลือกใช้ในการเจรจากับกลุ่มเจ้าหนี้ทั้งสาม (คือคณะกรรมาธิการยุโรป, ธนาคารกลางยุโรป และ IMF) ล้วนแล้วแต่ส่งผลลบต่อกรีซทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น แท็กติก “Grexit” หรือการขู่ว่าจะถอนตัวออกจากกลุ่มยูโรโซน และเลิกใช้เงินสกุลร่วมยูโร แท็กติก “referendum” ที่อาศัยมือคนกรีกลงประชามติ เพื่อสร้างความชอบธรรมและเพิ่มอำนาจต่อรอง และแท็กติก “Nazism” คือปลุก “ผีนาซี” ให้มาหลอกหลอนเยอรมนี ในฐานะประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกรีซ

ว่ากันว่า แท็กติกปลุก “ผีนาซี” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ ที่แทบจะไม่มีการกล่าวถึงในสังคมไทยเลย ทั้งในโลกธุรกิจและสื่อต่างๆ (เมื่อเทียบกับเรื่อง Grexit และ referendum) ส่งผลเสียหายจนถึงขั้นทำให้ผู้นำเยอรมันโกรธไม่พอใจกรีซอย่างมาก จนนำไปสู่ท่าทีที่แข็งกร้าวอย่างสุดๆ แบบไม่ยอมลดราวาศอกแม้เพียงแค่หนึ่งยูโรเดียว

เป็นที่รับรู้กันทั่วไปในยุโรปว่า ประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเยอรมนีในยุคสงครามโลกนั้น ถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหวที่ควรจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แต่สำหรับผู้นำกรีซคนนี้แล้ว ในสถานการณ์ที่ประเทศประสบกับภาวะทางการเงินจนสิ้นไร้ทางออกเช่นนี้ การเลือกใช้วิธีปลุก “ผีอดีต” อาจจะคุ้มค่า (ทางการเงิน) เมื่อแลกกับความเสี่ยง (ทางการทูต) ก็เป็นได้

เมื่อคิดคำนวณชั่งน้ำหนักผลได้เสียแล้ว รัฐบาลกรีซจึงได้ประกาศท่าทีอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า เยอรมนีควรจะต้องรับผิดชอบต่อความโหดร้ายในอดีต ที่ฮิตเลอร์และกองทัพนาซีเคยกระทำต่อกรีซอย่างขมขื่นที่สุด ระหว่างช่วงปี 1941-1944 โดยนายกรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาเรียกร้องและ “ทวงหนี้” อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ให้รัฐบาลเยอรมันรับผิดชอบต่อ “หนี้” ที่ติดค้างกรีซมานานกว่า 7 ทศวรรษ หลังจากนั้น ผู้นำวัยหนุ่มที่สุดในยุโรปที่ไม่ชอบผูกเนคไทคนนี้ ก็สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นผู้นำต่างประเทศคนแรกที่เดินทางมาทวง “หนี้” จากผู้นำเยอรมันโดยตรงถึงกรุงเบอร์ลิน เป็นความกล้าหาญชาญชัย อย่างชนิดที่ไม่เคยมีผู้นำของประเทศไหนกล้าทำมาก่อน นับตั้งแต่การรวมประเทศเยอรมนีเป็นหนึ่งเดียวในปี 1990

สำหรับ “หนี้”  ที่ทางรัฐบาลกรีซอ้างถึงว่า เยอรมนียังติดค้างไม่ชำระจ่ายคืนให้แก่กรีซมากว่า 70 ปี แบ่งออกเป็นสองประเภท

หนึ่ง หนี้หรือเงินชดเชยที่เป็นผลมาจากการถูกกองทัพนาซีรุกรานและยึดครองกรีซกว่า 4 ปี จนทำให้ชาวกรีกเสียชีวิตกว่า 3 แสนคน รวมทั้งสร้างความเสียหายทางกายภาพอื่นๆ อีกจำนวนมาก

สอง เงินกู้ที่กองทัพนาซีบังคับยึดไปจากเงินคลังของกรีซในปี 1942 จนทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเสียหายหนัก

ในช่วงแรกๆ ทางการกรีซกรีซประเมินว่า เยอรมนีเป็นหนี้ติดค้างกรีซทั้งสิ้น 1.62 แสนล้านยูโร (ครึ่งหนึ่งของมูลค่าหนี้ที่กรีซติดค้างอยู่ในปัจจุบัน) ต่อมารัฐบาลกรีซได้ประเมินปรับเพิ่มตัวเลขใหม่สูงเกือบ 2.8 แสนล้านยูโร เรียกว่าสูงจนสามารถกลบลบหนี้ในปัจจุบันได้ทั้งหมด พร้อมเงินเหลือบวกกำไรอีกกว่า 4 หมื่นล้านยูโร

รัฐบาลกรีซยังเรียกร้องขอความเห็นใจจากบรรดาเจ้าหนี้ในยุโรปที่ยังมีความทรงจำกับอดีตเป็นอย่างดี ได้เข้าใจว่า กรีซในปัจจุบันมีฐานะ (ย่ำแย่) ไม่แตกต่างจากเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และที่สำคัญ กรีซไม่เคยมีประวัติถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ เหมือนกองทัพนาซีเยอรมัน ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดกรีซควรได้รับโอกาสและการปฏิบัติอย่างผ่อนปรนเหมือนที่เยอรมันเคยได้รับด้วย เพื่อที่จะสามารถพลิกฟื้นก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ได้ เหมือนที่เยอรมนีเคยทำสำเร็จ จนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้

ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีตัวอย่างของจีนและญี่ปุ่น ที่อาจจะเป็นแนวทางให้กับผู้นำกรีซคนนี้ก็ได้ เพราะว่ากันว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปัจจุบันนั้น ส่วนสำคัญหนึ่งก็เป็นผลมาจากแท็กติก “ผีอดีต” ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆ จนได้รับเงินช่วยเหลือประเภทต่างๆ จากญี่ปุ่น ตลอดช่วงระยะเวลากว่าสามทศวรรษ (1979-2008) คิดเป็นมูลค่ารวมสูงถึง 3.4 ล้านล้านเยน (ใกล้เคียงกับจำนวนหนี้สินของกรีซในปัจจุบัน)

ทั้งนี้ ในความรู้สึกของผู้นำญี่ปุ่นแล้ว เงินช่วยเหลือเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจจีนนับตั้งแต่นโยบายสี่ทันสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง แท้จริงแล้ว ก็คือเงินชดเชยที่ญี่ปุ่นต้องรับผิดชอบต่อการรุกรานจีนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่การเลือกวิธีปลุก “ผีอดีต” ของกรีซ ถือเป็นแท็กติกที่ผิดพลาดจนส่งผลเสียหายต่อกรีซเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้นำเยอรมันไม่พึงพอใจกรีซมากถึงมากที่สุด จนนำไปสู่ท่าทีที่แข็งกร้าวอย่างสุดๆ แบบไม่ลดลาวาศอก ชนิดที่ไม่เคยมีใครเห็นท่าทีแบบนี้ของเยอรมนีมาก่อนเลย ซึ่งรัฐมนตรีกลาโหมของกรีซเองก็ยอมรับในภายหลังถึงความผิดพลาดนี้

สุดท้ายแล้ว กรีซก็จำใจต้องยอมรับสภาพ และจำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขการกู้เงินก้อนใหม่ ที่มีเงื่อนไข “โหด” มากยิ่งกว่าเดิม เสมือนว่าถูกลงโทษจากการปลุก “ผีอดีต” (โดยผลการลงประชามติของชาวกรีกไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย) จนมีการเปรียบเทียบว่า ไม่ต่างจากเงื่อนไขแบบโหดสุดๆ ของสนธิสัญญาแวร์ซายน์ในอดีต ที่เคยใช้บังคับเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างชนิดไม่มีทางใช้หนี้คืนได้ จนในที่สุด เปิดทางให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศเยอรมนี และสร้างประวัติศาสตร์อันขมขื่นที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20

แต่ในกรณีของกรีซ ประวัติศาสตร์จะไม่มีวันได้เกิดซ้ำรอยอย่างแน่นอน

----------------------

ดร.ปรีชาญาณ วงศ์อรุณ

[email protected]