‘เราต้องขยับ เพราะคนอื่นกำลังจะมาแทนเรา’

นายกฯ หลี่เสียนหลง ของสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์นิตยสาร Time เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี
ตอนหนึ่งบอกว่า สิ่งท้าทายในระยะ 10 ปีจากนี้ไปคือการ “ยกระดับเศรษฐกิจ” ให้สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเพื่อคนอื่นจะได้ตามไม่ทัน
มีคำถามว่าสิงคโปร์ซึ่งมีมาตรฐานเศรษฐกิจสูงอยู่แล้ว จะก้าวขึ้นไปอีกอย่างไร?
คำตอบของหลี่เสียนหลงเน้นประโยคที่ว่า “My whole system must be different from what you can get anywhere else in Asia. The others are catching up. So, even as the others step into where we are, we have to be at the next level.”
สะท้อนว่าแม้เขาจะอยู่อันดับต้น ๆ ของเศรษฐกิจโลกแล้ว แต่เขาก็ลิงโลดอยู่กับตำแหน่งปัจจุบันไม่ได้
เขาเน้นว่า “ระบบของเราจะต้องแตกต่างไปจากที่คนอื่นเขามีในเอเซีย”
แปลว่าเขาต้องไม่ให้ใครมาลอกเลียนแบบหรือวิ่งไล่ทัน ประเทศอื่นกำลังวิ่งเข้ามาใกล้ เขาก็ต้องฉีกตัวห่างออกไปอีก
ถามว่าการขยับเศรษฐกิจไปอีกระดับหนึ่งของสิงคโปร์ หมายถึงอะไร นายกฯ หลี่เสียนหลงตอบอย่างนี้
“...วันนี้ จำนวนนักศึกษาผ่านมหาวิทยาลัยของเราอยู่ที่ระดับ 30% เราจะต้องขยับไปที่ 40% ...เด็กจำนวนมากเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่นอกระบบรัฐ อาจจะเรียนพิเศษ หรือไปออสเตรเลียหรืออังกฤษเพื่อทำปริญญาทุกประเภท และเมื่อกลับบ้าน พวกเขาก็คาดหวังจะได้งานดี ๆ ที่เรียกว่า PMET (Professional, Managers, Executives, Technical) เราจึงต้องสร้างระบบเศรษฐกิจที่จะสามารถสร้างงานเหล่านี้ให้ได้ และต้องยกระดับคนที่ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย เพื่อจะได้ไม่มีช่องว่างมากนักระหว่างคนเข้าเรียนในระบบกับคนอื่น ๆ เหมือนในสหรัฐ เพราะที่นั่นมีช่องว่างมากระหว่างคนมีปริญญากับคนไม่มี
“การจะสร้างงานที่มีคุณภาพได้ขนาดนั้นจะต้องมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นเราไม่อาจจะทำด้วยการขยายจำนวนหัวประชากร เพราะเราไม่มีประชากรเพียงพอสำหรับทำอย่างนั้น และผมก็ไม่อาจจะนำเอาหัวประชากรมาเพิ่มจากข้างนอกโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาการปริแตก...(ของสังคม)
“ดังนั้น ผมจึงต้องสร้างงานที่มีคุณภาพในด้านต่าง ๆ นั่นหมายถึงการสร้างเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพในภาพรวม และโครงสร้างพื้นฐานของผมจะต้องดีเยี่ยมระดับเทพ ระบบของผมจะต้องแตกต่างไปจากที่คนอื่นในเอเซียเขามี ประเทศอื่นกำลังไล่ตามมา และแม้คนอื่นจะก้าวเข้ามาในจุดที่เรายืนอยู่ เราก็ต้องขยับขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง....”
แน่นอนว่าสิ่งที่ยากเย็นและท้าทายที่สุดสำหรับสิงคโปร์ (และประเทศอื่นๆ ที่ต้องการปฏิรูปเพื่ออนาคต) คือการสร้าง “คุณภาพสังคมและคนที่แตกต่างไปจากคนอื่น...และที่หาไม่ได้จากที่อื่น...”
ทำได้หรือไม่ได้อาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่า มีขบวนการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่ตระหนักและเสียสละเพื่อสร้าง “ความแตกต่าง” ที่ว่านี้
ย้อนคิดถึงประเทศเราเองแล้วก็กลัดกลุ้มขึ้นมาทันที!







