Startup กับอัตราของการเผาเงินทุน

“อัตราของการเผาเงินทุน”(Burn Rate)เป็นศัพท์ที่มักใช้ในหมู่นักลงทุนในรูปกองทุนร่วมทุนธุรกิจ(VC)เพื่อประเมินความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจใหม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าไปสนับสนุนทางการเงินสำหรับธุรกิจเริ่มใหม่ที่หวังผลตอบแทนสูง ที่มักเรียกกันว่า ธุรกิจ Startup
ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า การเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจใหม่ จำเป็นที่จะต้องใช้เงินก้อนหนึ่งมาเป็นทุนประเดิมเริ่มแรกเพื่อใช้สอยก่อนที่จะสามารถผลิตสินค้าหรือจัดหาการบริการมานำเสนอให้ตลาดได้ทดลองซื้อหา
สำหรับธุรกิจที่เป็น Startup แบบไฮเทค อาจต้องมีเงินทุนที่ต้องนำมาใช้ในการทำวิจัย ค้นคว้า หรือทดลองสร้างต้นแบบของผลิตภัณฑ์ จนกว่าจะอยู่ในสภาพที่นำออกสู่ตลาดและเริ่มสร้างรายได้เข้ามาให้ธุรกิจได้
ระยะเวลาตั้งแต่ที่เริ่มต้นคิดจะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ไปจนถึงการหารายได้ 1 บาทแรกเข้ามา และสร้างกำไร 1 บาทแรก เป็นผลตอบแทนให้กับธุรกิจ เป็นระยะเวลาเชิงกลยุทธ์ที่ Startup ทุกรายต้องการที่จะไปให้ถึงอย่างเร็วที่สุด
ดังนั้น Startup จึงต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไร และใช้เงินเท่าไร ควบคู่ไปกับการคิดถึงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ และกรรมวิธีการผลิต ในการนำความคิดสร้างสรรค์ของตนเองให้เกิดมูลค่าเชิงพาณิชย์
โดยทั่วไปแล้ว การใช้เงิน หรือจะเรียกให้น่าตื่นเต้นว่าเป็น พฤติกรรม “การเผาเงิน” ของ Startup นั้นอาจแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ได้ 3 ระยะ
ระยะแรก เป็นช่วงที่ต้องใช้เงินไปกับการทดสอบยืนยันว่า ความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียวที่คิดไว้ จะสามารถทำขึ้นมาให้เป็นความจริงได้หรือไม่
ซึ่งจะรวมถึงการ ค้นคว้าหาข้อมูล การวิจัย การทดลอง ปรับแต่ง จนกระทั่งสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่า ไอเดีย ที่มีอยู่สามารถผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ที่ใช้งานได้จริงตามวัตถุประสงค์ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องปรับแต่งรูปแบบให้สวยงามน่าใช้มากขึ้น
Startup ควรจะต้องสามารถประเมินหรือประมาณการความต้องการใช้เงินในระยะนี้ให้มีความชัดเจนตามสมควร
หากไอเดียหรือความคิดที่คิดไว้ ไม่เป็นไปตามที่คิด ทำให้ต้องใช้เวลาแก้ไขปรับแต่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบนานกว่าที่คิด อัตราของการเผาเงินก็จะเพิ่มมากขึ้นมากกว่าการคาดการณ์
ระยะที่สอง เป็นช่วงของการนำผลิตภัณฑ์ต้นแบบ มาขยายขอบข่ายเพื่อผลิตให้ได้ในปริมาณเชิงพาณิชย์ ตามกำลังการผลิตที่วางแผนไว้
ไม่ว่าจะเป็นการจ้างผู้อื่นผลิตให้ การเช่าโรงงานหรือเครื่องจักร์การผลิต หรือ การลงทุนซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร์มาใช้เอง
รวมถึงการจัดหาปัจจัยการผลิตอื่นๆ เช่น วัตถุดิบ และการจัดเตรียมพนักงาน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการอบรมให้มีความรู้เพียงพอต่อการผลิต
การ “เผาเงิน” ก็ยังต้องเกิดไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่มีผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่าย
ระยะที่สาม เป็นการเตรียมใช้เงินสำหรับการนำสินค้าออกสู่ตลาด เช่น การเปิดตัว การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดส่งสินค้าหรือการกระจายสินค้าชุดแรกเข้าตลาด
จะเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะมีการเตรียมวางแผนที่ดีอย่างไร ปัญหาต่างๆ ก็มักจะเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจเริ่มใหม่ที่เจ้าของยังไม่มีประสบการณ์กับตัวผลิตภัณฑ์หรือตัวธุรกิจมาก่อน
ดังนั้น การประมาณการการใช้เงิน จึงอาจต้องมีส่วนที่เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้เสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่แปลกใหม่ที่ตลาดยังไม่รู้จักดี อาจจะต้องเตรียมระยะเวลาที่ให้ตลาดเริ่มรู้จักให้นานขึ้น หรือเตรียมงบประมาณการแนะนำสินค้าให้มากขึ้น
มีตัวเลข 2 ตัวที่ Startup ควรให้ความสนใจก่อนที่จะประสบความสำเร็จในตลาด
ตัวเลขชุดแรก ก็คือ ระยะเวลาที่กระแสเงินสดจะเป็นบวก ซึ่งหมายถึง จุดที่เจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้อง “ปั๊ม” เงินทุนใส่ลงไปให้กิจการอีกต่อไป เนื่องจากธุรกิจสามารถเดินไปได้และสร้างรายได้ขึ้นมาคุ้มกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
แต่ยังไม่ได้หมายความว่า ธุรกิจจะมีกำไร หากรายได้ที่เกิดขึ้นยังไม่มากพอที่จะล้างยอดขาดทุนที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มใช้เงินในการก่อตั้งธุรกิจ
ดังนั้น ตัวเลขชุดที่สอง ที่จะต้องจับตามองคือ เวลาที่กำไรสุทธิของกิจการมีค่าเป็นบวก
“อัตราของการเผาเงินทุน” จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ Startup จะใช้ควบคุมการใช้เงินในระยะเริ่มต่อตั้งกิจการ
โดยปกติแล้ว นักลงทุนของกองทุนร่วมลงทุน (VC) มักจะใช้หน่วยวัด อัตราของการเผาเงินทุน หรือ Burn Rate ในหน่วยเฉลี่ยเป็น “เดือน”
เช่น หากธุรกิจ Startup ต้องใช้เงินทั้งหมด 3 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ก่อนที่กระแสเงินสดจะเป็นบวก ก็จะพูดได้ว่า ธุรกิจนี้ มี Burn Rate หรืออัตราของการเผาเงินทุน เท่ากับเดือนละ 500,000 บาท
การประมาณการเพื่อให้ทราบถึง Burn Rate ของธุรกิจ จะช่วยให้ Startup ได้จัดเตรียมทรัพยากรทางการเงินไว้ได้เพียงพอสสำหรับช่วงเวลาของการเริ่มต้นธุรกิจ ไม่ให้เกิดอาการ “สายป่าน” หมด หรือ ไม่ได้หาเงินมาเยอะเกินความจำเป็น จนต้องนำเงินมา “กอง” ไว้เฉยๆ โดยไม่จำเป็น
เนื่องจากการหาเงินมาช่วยในธุรกิจอย่างฉุกเฉิน มักจะต้องเสียต้นทุนทางการเงินสูงกว่าต้นทุนตามปกติเสมอ







