โซเชียลมีเดีย อาวุธที่ร้ายแรง

ในสังคมยุคโซเชียลมีเดียเช่นนี้ องค์กรหลายๆ องค์กร ผู้นำหลายๆ คน แม้แต่นักแสดงที่มีชื่อเสียง
เริ่มมีความรู้สึกอยากจะย้อนกลับไปสมัยที่ไม่มีเฟซบุ๊ค ไม่มีไลน์ มีแต่โทรศัพท์กันแล้ว เพราะการรับมือกับโซเชียลมีเดียเริ่มยากขึ้นทุกวันๆ
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ หลายสิ่งเริ่มขึ้นมาจากโซเชียลมีเดีย ไล่ย้อนไปถึงเรื่องราวของเอมมี่ ที่โพสต์บัตรคอนเสิร์ต 25 ใบ ต่อด้วยซี ที่โพสต์แสดงความในใจ ตามติดมาด้วยกรณีแตงโม ที่เกิดขึ้นเพราะเพื่อนเธอโพสต์รูปเธอ ขณะนำส่งโรงพยาบาลกลางดึก จากนั้นไม่นานก็มีกรณีพลอย โพสต์แสดงความน้อยใจปีเตอร์ สามีของเธอ และคิดว่าคงมีอีกหลายๆ กรณีที่จะตามติดมาเรื่อยๆ และหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่า เราจะรับมือกับโซเชียลอย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ว่าเราจะบริหารโซเชียลมีเดียอย่างไรด้วย
ทำไมโซเชียลมีเดียถึงมีความสำคัญและเป็นที่นิยมมากมายขนาดนี้ คำตอบก็คือ เพราะทุกคนสามารถเป็นเจ้าของสื่อได้ ทุกคนสามารถมีช่องทางของตนได้ นึกถึงสมัยก่อน หากดาราสักคนอยากจะได้เวลาสักห้านาที ที่จะสื่อสารกับคนดู แฟนละคร เขาคงจะต้องเข้าไปร้องขอเจ้าของช่อง เจ้าของหนังสือพิมพ์ เพื่อขอโอกาสนี้ แต่สมัยนี้เพียงแค่หยิบมือถือ แล้วโพสต์ไม่กี่นาที คนเห็นก็เป็นแสน เยอะกว่า คนดูรายการทีวีบางช่องเสียอีก
การที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของสื่อได้เท่านั้น ยังคงต้องประกอบกับสิ่งต่างๆ อีกด้วย เช่นทุกวันนี้ สื่อกระแสหลักกำลังเฝ้าจับตาและรอฟังโซเชียลมีเดียของดารา และผู้ที่มีชื่อเสียงหลายคน ดังนั้น หากเขาเหล่านั้นต้องการจัดแถลงข่าวกึ่งไม่เป็นทางการขึ้นเมื่อไหร่ เขาเพียงแค่เขียนลงไปในเฟซบุ๊คของตน ไม่นานสื่อกระแสหลักก็จะจับเรื่องนี้มาเป็นเรื่องได้ นี่คือ การทำหน้าที่ของgatekeeper ของสื่อมวลชนนั้นเอง เพียงแต่เรื่องบางเรื่องไม่น่าเอามาเล่นเป็นประเด็นแค่นั้น
ผมเชื่อเสมอว่า คนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ทราบว่า โซเชียลมีเดียของตนนั้น กำลังถูกเฝ้าดูอยู่ตลอดจากสื่อกระแสหลัก ดังนั้น เฟซบุ๊ค อินสตราแกรม กับคำว่า “พื้นที่ส่วนตัว” นั้น ไม่ได้ควรจะมาด้วยกัน นอกเสียจากจะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านนั้นเอง
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ พลังของโซเชียลมีเดียเพิ่มมากขึ้นคือ แหล่งข่าวที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวตน และเนื่องจากแหล่งข่าวที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนนี่เอง ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ สามารถทำได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าผู้เดือดร้อนจะไปฟ้องร้องใครอยู่ดี สิ่งที่เห็นชัดมากอย่างหนึ่งในการใช้โซเชียลของคนไทยคือ คนไทยหลายคนเอาโซเชียลมีเดียนั้นเป็นแหล่งข่าวเสียเอง ซึ่งเป็นที่น่าขำมากครับ จะเห็นว่าคนไทยหลายคนชอบพูดว่า “ในเฟซบุ๊คเขาบอกว่า....” หรือ “ในไลน์เขาบอกว่า...”
บางคนกลับลืมไปว่า บรรดา ไลน์ เฟซบุ๊คทั้งหลายนี้ เป็นแค่สื่อเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ส่งสาร คุณไม่สามารถห้ามหรือเชื่อถือไลน์หรือเฟซบุ๊คที่ไม่มีที่มาที่ไปได้เลย ตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น เช่น การเรียกตำรวจโดยการกดรหัสเอทีเอ็มย้อนกลับที่แพร่กันอยู่ ใครเป็นผู้บอกครับ หากหาต้นตอไม่ได้ อย่าเชื่อโดยสนิทใจ ไม่ใช่แค่นั้น ในฐานะผู้รับสื่อ เราต้องมีตรรกะ และคิดพินิจพิเคราะห์ให้ดี เช่น หากรหัสเขาคือ 2332 เขาจะกดอย่างไร คิดง่ายๆ แค่นี้ ความน่าจะเป็นจริง ก็น่าจะลดลงแล้วใช่ไหมครับ
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือสาเหตุที่ว่า ทำไมโซเชียลมีเดียถึงมีความสำคัญ และมีพลังได้มากมายขนาดนี้ หลายคนจึงนำโซเชียลมาเป็นอาวุธทำลายล้างกันอย่างเมามัน เพราะเป็นอาวุธที่ใครๆ ก็มีได้ เป็นอาวุธที่พร้อมจะขยายต่อในวงกว้าง และเป็นอาวุธที่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครถืออาวุธอยู่ก็ได้ ดังนั้น เมื่อเราต้องต่อสู้กับอาวุธชนิดนี้เราควรทำอย่างไร
เมื่อคุณหรือองค์กรถูกอาวุธที่เรียกว่า โซเชียลมีเดียนี้โจมตี สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ความกล้าหาญที่จะเผชิญความจริง อย่านิ่งเงียบ หลายคนชอบเอาคำภาษิตไทยมาใช้ที่ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” แต่ในภาวะวิกฤติที่คุณกำลังถูกโจมตีทางโซเชียลมีเดียนี้ บอกได้เลยครับว่า เงียบไม่ได้ หากคุณคิดจะเงียบ คุณต้องเงียบแบบมีเสียง นั่นหมายความว่า คุณต้องเงียบโดยให้สังคมรู้ว่า อย่างน้อยที่คุณเงียบเพราะคุณฟัง ไม่ใช่เงียบแบบไม่รู้ไม่ชี้ การเงียบมักจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอยากรู้มากขึ้น และมักกระตุ้นให้คนเชื่อว่า คุณยอมรับกับคำต่อว่านั้นๆ นั่นเอง
อาวุธที่เรียกว่าโซเชียลมีเดียทรงพลังมากในยุคนี้ และเป็นอาวุธที่คุณสามารถนำมาใช้ได้ ดังนั้น เมื่อเราอยู่ในยุคที่อาวุธนี้แพร่กระจายเต็มบ้านเต็มเมือง เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะใช้ และรับมือกับอาวุธพวกนี้ไว้ให้มากๆ เพราะถ้าเราไม่รู้จักมันดีพอ คนบางคน หรือหลายคนเสียด้วยซ้ำ ที่นำอาวุธชนิดนี้มาทำลายตนเอง ตัวอย่างล่าสุดก็มีให้เห็น ไม่น่าเชื่อว่า คนอย่างระดับรองอธิการบดี ยังหยิบอาวุธชนิดนี้มาทำลายตนเองได้ เห็นไหมครับว่า ใช้ให้เป็นก็ปกป้องตนเองได้ ใช้ไม่เป็นก็ทำร้ายตนเองได้เช่นกัน
----------------------
ชีวิน สุนสะธรรม







