เยียวยาเศรษฐกิจ อย่าคิดว่าเป็นประชานิยม!
คนที่ติดตามดูข้อมูลเศรษฐกิจ คงคุ้นหูกับคำว่าเศรษฐกิจไทย“ฟื้นตัวช้า” และ“เปราะบาง” เพราะเราได้ยินคำนี้จากหน่วยงานเศรษฐกิจ
ของประเทศมาร่วมๆ ครึ่งปีแล้ว โดยช่วงต้นปีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีเพียงคำว่า“ฟื้นตัวช้า” แต่ช่วง 2-3 เดือนหลังนี้ เริ่มมีคำว่า“เปราะบาง” เพิ่มเข้ามา
คำว่า.. เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าและเปราะบางนั้น นักเศรษฐศาสตร์บางคนบอกว่า เป็นคำที่“สุภาพ” และดูถนอมน้ำใจภาครัฐ เพราะถ้าให้พูดกันตามตรง เวลานี้หลายคนใช้คำว่า“ชะงักงัน” ไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังไม่เห็นวี่แววว่า เศรษฐกิจเราจะหลุดพ้นจากภาวะนี้ได้เมื่อไหร่
ผมเห็นด้วยกับ“ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่บอกว่า เราควรต้องให้กำลังใจ“ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล เพื่อฝ่าฟันปัญหาเหล่านี้ไปให้ได้ ยิ่งเวลานี้ถือเป็น “โจทย์ยาก” เพราะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่เผชิญปัญหา ส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจไทยโดยตรง
เพียงแต่หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าเศรษฐกิจแบบนี้ ถึงเวลารึยังที่ “ภาครัฐ” ควรต้องหามาตรการกระตุ้นออกมาเพิ่มเติม หรืออย่างน้อยควรจะมี “มาตรการเยียวยา” เพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ คือ“กลุ่มเกษตรกร” ในระดับ“รากหญ้า” เพราะเวลานี้นอกจากจะเผชิญกับภาวะราคาสินค้าเกษตรโลกที่ตกต่ำแล้ว ยังต้องทนทุกข์กับปัญหาภัยแล้งในประเทศ ไม่สามารถปลูกข้าว ทำไร่ ทำนา ได้เหมือนปกติ ..ถามว่าคนเหล่านี้จะเอา“รายได้” จากที่ไหนมาเลี้ยงชีพ
ลองมาดูรายได้ภาคเกษตรกัน.. ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนพ.ค.2558 รายงานโดยธปท. พบว่า เกษตรกรมีรายได้ลดลง 12%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจาก จากราคาสินค้าที่ตกต่ำ อีกทั้งผลผลิตปรับลดลง
รายได้เกษตรที่หดตัวนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่เกิดมาต่อเนื่องและยาวนานพอสมควรแล้ว โดยถ้าดูตัวเลขย้อนไปในเดือนก่อนหน้าจะเห็นว่า รายได้กลุ่มนี้ลดลงประมาณ 18.6%หรือถ้าดูช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ก็มีค่าเฉลี่ยการปรับลดลงอยู่ที่ 11.8%และถ้าจะมองยาวไปในปีก่อนหน้า ค่าเฉลี่ยการปรับลดลงทั้งปีอยู่ที่ 5.6%แบ่งเป็น การหดตัวลงในครึ่งปีแรก 0.5%และครึ่งปีหลังหดตัวราว 10.1%
..ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า “คนกลุ่มนี้” จะผ่านสถานการณ์อันยากลำบากเช่นนี้ไปได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ภาครัฐเข้ามาช่วย?
นักเศรษฐศาสตร์ หลายคนเริ่มแสดงความเห็นว่า“วิกฤติเศรษฐกิจ” รอบใหม่ หากจะเกิดขึ้น ก็คงเกิดกับกลุ่มคนในระดับรากหญ้า ซึ่งผมเองก็เห็นว่า สถานการณ์ที่ว่านี้ เริ่มประชิดเข้ามาเต็มทนแล้ว
นักวิชาการท่านหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ภาครัฐยังไม่มีมาตรการเยียวยาใดๆ ที่เป็นชิ้นเป็นอันออกมา อาจเพราะยังเขินอาย เกรงถูกกล่าวหาว่าเป็นการดำเนินนโยบายแบบ“ประชานิยม” ซึ่งนักวิชาการท่านนี้ มองว่า ภาครัฐจำเป็นต้องแยกแยะให้ออกระหว่างคำว่า“เยียวยา” กับ“ประชานิยม” เพราะ 2 คำนี้มี“เป้าหมาย” ที่แตกต่างชัดเจน
สุดท้ายนี้..อยากบอก “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลว่า ขอเอาใจช่วยให้ท่านผ่าทางตันปัญหาเศรษฐกิจในรอบนี้ไปให้ได้ แต่สิ่งสำคัญที่ท่านต้องไม่ลืม คือ “ภาคเกษตร”
อย่าลืมว่าคนกลุ่มนี้มี “พลัง” มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้!