ความรุนแรงในชีวิตประจำวัน

หากติดตามข่าวทั่วๆ ไป ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้สึกเหมือนๆ กันว่า การใช้ความรุนแรงในระดับต่างๆ มีมากขึ้น
จนเหมือนจะพูดได้ว่า การใช้ความรุนแรงกลายเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่คนเราเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน ลองคิดดูถึงปัญหาง่ายๆ เช่น ขับรถปาดหน้ากันก็เกิดเรื่องชกต่อยเลยไปถึงยิงกัน หรือมองหน้ากันก็ฆ่ากันได้
เราจะะอธิบายปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดมากขึ้นนี้ได้อย่างไร
หากเราไม่พยายามเข้าใจเรื่องนี้ เราก็คงจะต้องอยู่และเผชิญหน้ากับสังคม ที่ฝังแน่นด้วยวัฒนธรรมแห่งความหวาดกลัวและความรุนแรง (Culture of Terror and Violence) มากขึ้น การศึกษาชุมชนในสหรัฐอเมริกาพบว่า เมื่อความหวาดกลัวขยายตัวออกไปมากขึ้น ก็จะนำไปสู่ความปรารถนาครอบครองอาวุธ และที่สำคัญก็พร้อมจะใช้ความรุนแรงทันที
กล่าวได้ง่ายๆ ว่า วัฒนธรรมความหวาดกลัว จะกลั่นตัวไปสู่การทำให้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติธรรมดา (the Normalization ofViolence) อย่างที่เรากำลังพบเห็นในชีวิตประจำวันนี่แหละ
หากเราต้องการจะเข้าใจกระบวนการ การทำให้สังคมอุดมไปด้วยความหวาดกลัวและิความรุนแรง ก็ต้องมองความเปลี่ยนแปลงของสังคม อย่างน้อยในสามด้าน
ด้านแรก ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ที่ได้เปิดโอกาสให้แก่ผู้คนจำนวนมาก สามารถที่จะเลื่อนฐานะและชนชั้น ได้ด้วยความสามารถเฉพาะส่วนตัวมากขึ้น แม้กระทั่งการทำการเกษตรในสมัยปัจจุบัน ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญารวมหมู่/ชุมชนแบบเดิมอีกต่อไป
ความเปลี่ยนแปลงด้านที่สองเป็นผลมาจากด้านแรก ได้แก่ การเคลื่อนย้ายทางสังคมที่รวดเร็วมากขึ้น (High Mobilization) ได้ทำให้เกิดสภาวะที่“ขนบ/วัฒนธรรม” เดิมของสังคมนั้นไม่มีเสน่ห์ และไม่มีผลต่อการกำกับชีวิตผู้คนอีกต่อไป ความคิดเรื่อง “ผู้หลัก/ผู้ใหญ่” ถูกละเลยไม่สนใจ ในบางพื้นที่มีคำกล่าวถึงขนาดว่า ในพื้นที่นี้ไม่มีผู้ใหญ่มีแต่ “คนหัวหงอก“
ความเปลี่ยนแปลงด้านที่สาม เป็นส่วนที่อยู่ในส่วนระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด กล่าวคือ เมื่อผู้คนเริ่มดำรงชีวิตบนทักษะความสามารถเฉพาะตัว ได้ส่งผลทำให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มเน้นความสำนึกเชิงปัจเจกชนสูงมากกว่าเดิม (สำนึกเชิงปัจเจกชนเป็นคำใหญ่ ที่จำเป็นต้องศึกษาเพื่อแยกแยะให้เห็นระดับของความเป็นปัจเจก ขอเอาไว้คราวต่อไปนะครับ)
แต่ขณะเดียวกัน การเชื่อมโยงปัจเจกชนในระบบเครือข่ายในแนวระนาบ กลับเข้มข้นมากขึ้น ขณะเดียวกัน เครือข่ายแบบใหม่ที่เกิดขึ้นก็กว้างขวางเกินชุมชนแบบเดิม
ความเปลี่ยนแปลงในระบบอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่ประกอบอยู่กับสำนึกเชิงปัจเจกชน และเครือข่าย ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงจินตนาการและความหมายของ “สังคม”
น่าสนใจตรงที่ว่าความคิดเรื่อง “สังคม“ ในความหมายแบบที่เราเข้าใจนั้น เพิ่งเกิดขึ้นในทศวรรษ 2510 นี่เอง ก่อนหน้านี้ จากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เรื่อยมา ผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ความคิดเรื่อง “สังคม” มีความหมายเท่ากับ “การสมาคม” เท่านั้น ความหมายหน่วยทางสังคมในสมัยนั้นถูกใช้ในคำว่า “บ้านเมือง” ก่อนจากนั้นประมาณทศวรรษ 2460 ก็เกิดคำว่า “ชาติ” ขึ้นมาประกอบการใช้เป็น “ชาติบ้านเมือง”
ทั้งคำว่า “บ้านเมือง” และ “ชาติ” มีความหมายทางการเมือง มากกว่าจะมีความหมายในทางด้านของสังคม กล่าวคือ เป็นการสร้างความคิดแทนหน่วยการเมือง ที่อยู่ภายใต้อำนาจขององค์อธิปัตย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พลเมือง/ราษฎร ไม่ได้มีส่วนอะไรใน “บ้านเมือง” หรือ “ชาติ” นอกจากทำหน้าที่ตามที่องค์อธิปัตย์ต้องการ
ความหมายใหม่ของ “สังคม” ที่สังคมเป็นองค์รวมของประชาชน และประชาชนที่อยู่ร่วม/เป็นส่วนหนึ่งในสังคม สามารถร่วมกำหนดความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น หลังจากการขยายตัวของการผลิตเชิงพาณิชย์และการขยายตัวของรัฐหลังปี 2500 ซึ่งทำให้คนจำนวนมากเข้าสู่การศึกษาระดับต่างๆ เพื่อที่จะเข้าไปทำงานในระบบการผลิต/ราชการที่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
กระบวนการเชื่อมผู้คนเข้ากับการผลิต และระบบราชการแบบใหม่ ได้ทำให้คนรู้สึกถึง “ผลรวมมากกว่าผลบวก” และนำมาซึ่งการสร้างความหมายใหม่ของคำว่า “สังคม”ภายหลังจากทศวรรษ 2520 การขยายตัวของอาชีพอิสระ ที่วางอยู่บนทักษะความสามารถส่วนตัว ได้เริ่มทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจินตนาการเรื่อง “สังคม” คนจำนวนมากได้เริ่มมองว่า ความสำเร็จในชีวิตตน ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัว และเครือข่ายของตนเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ของสังคมไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย “สังคม” จึงเป็นเพียงแค่ฉากให้ตัวละครเช่นตนเองได้เล่นเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่านั้น
ความสำนึกเชิงปัจเจกชนที่ไม่ได้สัมพันธ์อะไรกับสังคมเช่นที่เกิดขึ้นนี้ จึงทำให้โอกาสของคนแต่ละคนที่จะแสดง “อิทธิฤทธิ์” ส่วนตัวได้โดยที่ไม่สนใจ “สังคม” เกิดขึ้นได้ง่ายมากขึ้น ลองเปรียบเทียบคนในสังคมไทยกับสังคมญี่ปุ่นก็จะพบว่า คนญี่ปุ่นจะไม่กล้าแสดง “อิทธิฤทธิ์” ส่วนตัวในสังคม แต่คนไทยพร้อมที่จะแสดงอย่างเต็มที่ ก็เพราะจินตนาการของเราไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนกับสังคม หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ สังคมเป็นเพียงฉากเท่านั้น
บนระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนไทยเช่นนี้ เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายทางสังคมที่รวดเร็ว จึงทำให้กฎเกณฑ์ทางสังคม ไม่สามารถกำกับพฤติกรรมผู้คนได้ กฎหมายก็ถูกละเมิดได้ด้วยพลังอำนาจของเครือข่าย จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า ตนเองไม่จำเป็นที่จะควบคุมอารมณ์ดิบของตนเอง เพราะตนเองสามารถหลบหลีกจากกฎหมายได้สบายๆ การระเบิดของอารมณ์ดิบโดยใช้ความรุนแรงจึงเกิดขึ้นได้ง่ายโดยไม่มีข้อยับยั้ง
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงระบบอารมณ์ความรู้สึก การเคลื่อนย้ายทางสังคมที่รวดเร็ว เราจำเป็นต้องคิดว่า สังคมเราจะสร้างระบบความหมาย ของความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนกับสังคมกันใหม่ ไม่ใช่คิดง่ายๆ แบบนายกรัฐมนตรีประยุทธ จันทร์โอชา ที่อยากจะเน้นวิชาหน้าที่พลเมือง เพราะหากคิดแค่นั้น และพยายามบังคับให้เกิดทันในสมัยของตน ก็คงไม่ได้อะไรมากกว่าไปการท่องจำมากขึ้นเท่านั้น







