วิกฤติหนี้กรีซกับอนาคตอียู

วิกฤติหนี้กรีซกับอนาคตอียู

วิกฤติหนี้กรีซทำเอาเศรษฐกิจและการเมืองยุโรปปั่นป่วนหนัก จนสะเทือนไปถึงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก

สำหรับไทยคงไม่ส่งผลกระทบมากนักในระยะสั้น แต่ที่น่ากังวลน่าจะเป็นอนาคตเศรษฐกิจยูโรโซน ความมั่นคงและความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสกุลเงินยูโร และที่สำคัญอนาคต (ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง) ของสหภาพยุโรปหรืออียู ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา วิกฤติหนี้กรีซสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนกรีฐเป็นอย่างมาก เนื่องจากตกลงกับเจ้าหนี้ไม่ได้ รัฐบาลไม่มีเงินสดหมุนเวียน จึงต้องปิดแบงค์และปิดตลาดหุ้นไปตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.2558 ประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว ประชาชนสามารถถอนเงินจาก ATM ได้วันละไม่เกิน 60 ยูโร ต่อบัตรธนาคารหนึ่งใบ และการโอนเงินระหว่างประเทศต้องถูกระงับ ยกเว้นได้รับอนุญาต อันนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการค้า และปากท้องประชาชนอย่างมาก เพราะกรีซข้องพึ่งพาสินค้าอุปโภคและบริโภคสำคัญๆ จากต่างประเทศ

ดูเหมือนวิกฤติหนี้กรีซจะเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ คือเรื่องภาระหนี้สินมหาศาลของกรีซว่าจะชดใช้ (ให้เจ้าหนี้) กันอย่างไร และชะตากรรมประเทศและประชาชนในประเทศจะเป็นอย่างไร จะยัง “อยากอยู่” หรือ “สามารถ” อยู่ในยูโรโซนและใช้เงินสกุลยูโรต่อไปได้ไหม หรือจะออกจากยูโรโซน เป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครตอบได้ มีแต่การคาดการณ์และวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา จากนักเศรษฐศาสตร์แนวคิดต่างๆ ว่ามาตรการที่ “ดีที่สุด” ที่จะเยียวยากรีซคืออะไร

อันที่จริงปัญหาหนี้กรีซเรื้อรังมานานหลายปีแล้ว โดยมีกลุ่มเจ้าหนี้ใหญ่อย่างกลุ่มยูโรโซนและ International Monetary Fund - IMF) เข้าไป “พยาม” ช่วยแก้ไขปัญหา ให้เงินกู้ ด้วยเงื่อนไขให้กรีซต้องปรับใช้มาตรการรัดเข็มขัด (austerity) แต่ก็ดูจะเยียวยาไม่ได้ผลนัก และก็มีอีกหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการรัดเข็มขัด โดยมีกระแสต่อต้านรุนแรงในกรีซ ทำให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกรีซ จากพรรคซ้ายจัด จึงได้รับการเลือกตั้งขึ้นมาเมื่อต้นปีด้วยกระแส “ประชานิยม” ว่าจะมาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กรีซ ผ่านนโยบาย “ต่อต้าน” นโยบายรัดเข็มขัด ที่เจ้าหนี้กำหนดมาอีกที

กรีซเป็นหนี้ต่อเจ้าหนี้ระหว่างประเทศเป็นจำนวนเงินมหาศาล คือประมาณ 320,000 ล้านยูโร หรือคิดเป็นร้อยละ 177 ของมูลค่าจีดีพี (ยังน้อยกว่า ญี่ปุ่น-มากเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น) โดยร้อยละ 60 ของหนี้ทั้งหมด เป็นไปตามแผนช่วยเหลือให้เงินกู้มูลค่า 240 ล้านยูโร ของกลุ่มยูโรโซนผ่านธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank หรือ  ECB) และร้อยละ 10 เป็นหนี้ โดยเยอรมนีเป็นเจ้าหนี้ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย ฝรั่งเศส อิตาลี  สเปน IMF  ECB และเนเธอร์แลนด์

จริงๆ แล้ว วิกฤติหนี้ที่กรีซไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจและการเงินเท่านั้น แต่มีเรื่องการเมือง การเจรจาต่อรอง และอนาคตความมั่นคงของอียู และอนาคตสกุลเงินยูโร เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเดิมพัน

กรีซโหวต NO

ที่กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ก่อนคือ รัฐบาลซ้ายจัดของกรีซภายใต้การนำของนาย Alexis Tsipras นายกรัฐมนตรีประกาศไม่ยอมรับเงื่อนไขของเจ้าหนี้ใหญ่อย่างกลุ่มยูโรโซน และ IMF ทำให้การเจรจาเรื่องหนี้กรีซ ณ กรุงบรัสเซลส์ล้มเหลวไม่เป็นท่า แล้วกรีซยังไม่สามารถจ่ายเงินคืนเจ้าหนี้ตามที่กำหนด

ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีประชานิยมอย่าง Tsipras เลยใช้เทคนิคขอเสียงจากประชาชน (เพื่อมาสนับสนุนท่าทีในการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้) โดยจัดให้มีการทำประชามติเมื่อวันที่ 5 ก.ค.2558 ว่า “กรีซจะยอมรับเงื่อนไขที่เจ้าหนี้เสนอมาหรือไม่” ผลปรากฏว่า เป็นไปตามความคาดหมายคือ กรีซโหวต “NO” (60%) กล่าวคือไม่ยอมรับเงื่อนไขของเจ้าหนี้

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการโหวต “NO” ของกรีซครั้งนี้ ก็เหมือนกับการโหวตให้กรีซออกจากยูโรโซนหรือที่เรียกว่า “Grexit”แต่นายกรัฐมตรี Tsipras ยืนยันว่า รัฐบาลกรีซไม่เคยมีนโยบายดังกล่าว และยืนยันต้องการให้กรีซอยู่ในยูโรโซนต่อไป แต่เจ้าหนี้จะคิดอย่างไรนั้น? นั่นก็อีกเรื่อง

หลังจากผลประชามติออกมา NO กรีซก็เตรียมพร้อมกลับไปเจรจาและยื่นข้อเสนอใหม่ต่อเจ้าหนี้ โดยคาดว่าจะมีการขอเงินกู้เพิ่มเติมผ่านการใช้ European Stability Mechanism (ESM) ล่าสุด กลุ่มเจ้าหนี้รับจะพิจารณาข้อเสนอใหม่ของกรีซดังกล่าว และมีการประชุมผู้นำยุโรปเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวในวันอาทิตย์ที่ 12 ก.ค.2558 ที่กรุงบรัสซ์ ต้องรอดูผลกัน (วันนี้) ว่าผลจะออกมาอย่างไร

ประเทศในกลุ่มยูโรโซนคิดอย่างไรกับ Grexit?

มีกระแสการคาดเดาท่าทีของแต่ละประเทศในกลุ่มยูโรโซนเกี่ยวกับ Grexit ดังนี้

PRO คือสนับสนุนให้กรีซออกจากยูโรโซน ได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย เบลเยียม ฟินแลนด์ สโลวีเนีย เอสโตเนีย สโนวาเกีย ลิทัวเนีย ลัตเวีย

AGIANT คือไม่เป็นด้วยกับการให้กรีซออกจากยูโรโซน อาทิ อิตาลี ฝรั่งเศส ไซปรัส คณะกรรมาธิการยุโรป

NEUTRAL คือเป็นกลาง ได้แก่ ลักเซมเบิร์ก สเปน ไอร์แลนด์ มาลต้า โปรตุเกส หัวหน้าEurogroup

สำหรับเยอรมัน เจ้าหนี้ใหญ่ที่สุด คือประมาณ 68,000 ล้านยูโร นาง Angela Merkel และรัฐมนตรีคลัง Wolfgang Schaeuble เจ้าของนโยบายรัดเข็มขัด เป็นเสียงหลักที่ไม่เห็นด้วย และไม่ยอมอ่อนข้อกับข้อเสนอที่กรีซเรียกร้องมานานเกี่ยวกับการ “ผ่อนปรนหรือลดหนี้” ให้หน่อย เพราะอ้างว่าหนี้กรีซนั้นมหาศาล จนกรีซคงไม่สามารถชดใช้คืนให้ได้

ฝรั่งเศส เจ้าหนี้ใหญ่รองลงมา คือประมาณ 43,000 ล้านยูโร ซึ่งมีรัฐบาลฝ่ายซ้ายเหมือนกันดูจะเห็นอกเห็นใจกรีซมากที่สุด และต้องการให้กรีซอยู่ในยูโรโซนต่อไป มีข่าวว่าประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ส่งทีมเจรจาของฝรั่งเศสไปช่วยกรีซเพื่อเตรียมร่างข้อเสนอที่จะเสนอต่อเจ้าหนี้ ให้เป็นข้อเสนอที่เจ้าหนี้น่าจะยอมรับได้มากที่สุด

ส่วนกลุ่มประเทศบาลติก สนับสนุน Grexit เป็นอ้างว่าประเทศของตนก็ไม่ได้ร่ำรวย และไม่ต้องการรับภาระหนี้ของกรีซอีกต่อไป

วิกฤติหนี้กรีซสร้างความหนักใจว่า อนาคตของสมาชิกอียู (ที่พัฒนาแล้ว) อย่างกรีซจะเป็นอย่างไร หากต้องออกจากยูโรโซนแล้ว ต้องออกจากอียูด้วยหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ บทเรียนจากกรีซทำให้ประเทศสมาชิกยูโรโซนและอียู เพิ่งเริ่มตระหนักว่า จริงๆ แล้วการเป็นสมาชิกอียูและยูโรโซนนั้นไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นแบบตลอดชีพแบบ “ออกไม่ได้” แต่จริงๆ แล้ว “ออกได้” สถานการณ์แบบนี้บั่นทอนเสถียรภาพและเอกภาพของบูรณาการยุโรปที่มีมานานกว่า 50 ปี ได้มากเลยทีเดียว

ในวันนี้ จะมี last-minute deal ให้กรีซจากการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในสุดสัปดาห์นี้หรือไม่ กรีซจะอยู่ในยูโรโซนต่อไป หรือจะ Grexit  ไปจริงๆ เราคงจะทราบผลการประชุมผู้นำสุดยอดอียูกันในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 13 ก.ค.)

-------------------------

ดร.อาจารี ถาวรมาศ เป็นผู้บริหารบริษัท Access-Europe บริษัทที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และนโยบายเกี่ยวกับสหภาพยุโรปสำหรับภาครัฐและเอกชนไทยที่สนใจเปิดตลาดยุโรป www.access-europe.euหรือติดตามได้ที่ www.facebook.com/AccessEuropeCoLtd