โอกาสของโรงพยาบาลไทยในกัมพูชา ส.ป.ป.ลาวและเมียนมาร์

โอกาสของโรงพยาบาลไทยในกัมพูชา ส.ป.ป.ลาวและเมียนมาร์

ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน (AFAS) และความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน (ACIA) ที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้

น่าจะทำให้การค้าบริการด้านสุขภาพของธุรกิจโรงพยาบาลไทยในภูมิภาคมีโอกาสเติบโตมากขึ้น ประเทศคู่ค้าที่น่าสนใจ คือกัมพูชา ส.ป.ป.ลาวและเมียนมาร์ เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีความต้องการการบริการด้านสุขภาพมาก แต่กลับมีผู้ให้บริการที่มีจำนวนและคุณภาพจำกัด ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในทั้งสามประเทศนี้ นับเป็นโอกาสเปิดช่องว่างให้ธุรกิจโรงพยาบาลไทยเจาะตลาดเข้าไปได้

รูปแบบการค้าบริการด้านสุขภาพระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา สปป. ลาวและเมียนมาร์ ในปัจจุบันมีด้วยกันหลายรูปแบบ โดยมากเป็นการให้บริการของโรงพยาบาลไทยให้กับผู้ป่วยอาเซียนภายในประเทศ มักจะเกิดขึ้นตามจังหวัดใกล้ชายแดนหรือในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการค้าบริการด้านสุขภาพ คือการเพิ่มขึ้นของการลงทุนทางตรงของธุรกิจโรงพยาบาลไทย โดยในประเทศกัมพูชา โรงพยาบาลไทยได้เข้าไปเปิดกิจการโรงพยาบาลเต็มรูปแบบแล้วทั้งในกรุงพนมเปญและเมืองเสียมราฐ ในประเทศ ส.ป.ป.ลาว มีคลินิกรักษาโรคและคลินิกเสริมความงามในหลวงพระบางและเวียงจันทน์แล้ว ส่วนในประเทศเมียนมาร์ ก็มีศูนย์ส่งต่อในเมืองหลักๆ ที่ทำหน้าที่ติดต่อจัดการส่งผู้ป่วยเข้ามารักษาในประเทศไทย แม้จะยังไม่มีโรงพยาบาลของไทยเข้าไปอย่างจริงจัง

แนวโน้มการเติบโตของการลงทุนนี้ ดูเผินๆ ก็เหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการกีดกันทางการค้าได้ถูกขจัดลงไปบางส่วนแล้ว ไม่ว่าจะจากการลงนามในข้อตกลงยอมรับร่วม (Mutual Recognition Arrangements: MRAs) ที่ช่วยสร้างการยอมรับมาตรฐานร่วมกันในบางวิชาชีพ อันรวมไปถึงแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ และเภสัชกร และการระบุข้อบทการคุ้มครองการลงทุนไว้ใน ACIA

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของการลงทุนของโรงพยาบาลไทยในประเทศกัมพูชา ส.ป.ป.ลาวและเมียนมาร์ก็ยังมีอยู่ โดยมีอุปสรรคอย่างน้อยสองประการ คือการขาดความชัดเจนของกฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจโรงพยาบาล) และปัญหาความขาดแคลนปัจจัยการผลิตที่ธุรกิจโรงพยาบาลต้องใช้ในการดำเนินการ

ในด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุน พบว่าในประเทศกัมพูชา กฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลไม่ชัดเจนนัก และไม่มีกลไกปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากนัก การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนของรัฐมีอยู่แต่มีข้อกำหนดกำกับด้วย เช่น การลงทุนในธุรกิจโพลีคลินิก ต้องมีมูลค่าอย่างน้อย 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ จำนวนเตียงต้องมีอย่างน้อย 50 เตียง และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต้องครบถ้วนตามที่กำหนด นักลงทุนจึงจะได้รับการส่งเสริมจากรัฐ เป็นต้น สำหรับประเทศ ส.ป.ป.ลาว ถึงแม้ว่าชาวต่างชาติจะสามารถถือครองความเป็นเจ้าของกิจการโรงพยาบาลได้ 100 % โดยไม่ต้องร่วมทุนกับคนที่มีสัญชาติลาวแล้ว แต่ก็มีข้อกำหนดบางประการที่อาจสร้างปัญหาต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น ต้องมีการว่าจ้างแพทย์ชาวลาวตามคุณสมบัติที่ระบุมาเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารด้วย เป็นต้น สำหรับประเทศเมียนมาร์ก็เช่นกัน กฎระเบียบในเรื่องการลงทุนซับซ้อนและไม่ชัดเจน นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองก็ที่ยังไม่มั่นคงจนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของการลงทุนภายในประเทศได้

ในด้านปัจจัยการผลิต พบว่ามีความขาดแคลนในทั้งสามประเทศ ทั้งการขาดแคลนแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลรักษาอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่ช่วยบริการเสริมอื่นๆ เช่น บริการกำจัดขยะทางการแพทย์ หรือการบริการห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (Lab) เป็นต้น รวมไปถึงคุณภาพของระบบสาธารณูปโภคของทั้งสามประเทศ ก็ยังไม่พร้อมกับการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลนัก เช่น ในประเทศเมียนมาร์ มีปัญหาที่ดินราคาแพงและไฟฟ้าดับเป็นประจำ (จนอาจจะทำให้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีราคาแพงเสียหายได้) เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าการลงทุนในประเทศกัมพูชา ส.ป.ป.ลาว และเมียนมาร์ แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนแต่ก็มีอุปสรรคหลายประการ ที่ล้วนแต่สร้างความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ ขัดกับธรรมชาติของธุรกิจโรงพยาบาลที่ต้องการความแน่นอนสูง เนื่องจากการลงทุนใช้งบประมาณมาก และใช้ระยะเวลาในการคืนทุนนาน แน่นอนว่าหากมีความไม่แน่นอนมากจนเกินไป ธุรกิจก็ยังจะเลือกที่จะอยู่ในประเทศไทยและให้บริการในรูปแบบการตั้งรับในประเทศแทน

คาดการณ์ได้ว่า ในอนาคตแนวโน้มของการลงทุนทางตรงขาออกของธุรกิจโรงพยาบาลไทยในประเทศกัมพูชา ส.ป.ป.ลาวและเมียนมาร์ น่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์ปัจจุบันมากนัก ในกรณีของกัมพูชา มีโรงพยาบาลไทยเข้าไปลงทุนแล้ว และมีแนวโน้มที่จะทำการลงทุนต่อเนื่อง ในกรณีของ ส.ป.ป.ลาว ธุรกิจโรงพยาบาลไทยน่าจะยังไม่มีการลงทุนในรูปแบบโรงพยาบาลในระยะเวลาอันใกล้ (มีการเปิดคลินิกและศูนย์ส่งต่อแล้ว) การลงทุนใน ส.ป.ป.ลาวมีความจำเป็นน้อย เพราะในปัจจุบันการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยค่อนข้างสะดวกสบาย และตลาดผู้ป่วยที่เป็นชาวลาวยังถือว่าเล็กมาก แต่สำหรับกรณีเมียนมาร์ แม้ว่ายังไม่มีการลงทุนในรูปแบบโรงพยาบาล แต่ก็มีการเปิดศูนย์ส่งต่อหรือสำนักงานตัวแทนในเมียนมาร์

นอกจากนี้ ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยยังไปตั้งคลินิกสาขาตามพื้นที่ติดชายแดนเพื่อรักษาพยาบาลผู้ป่วยเบื้องต้น ก่อนทำการส่งต่อสู่โรงพยาบาลในเครือในตัวเมือง และแม้ว่ารูปแบบการจัดการแบบนี้จะเหมาะสมดีแล้วในปัจจุบัน แต่ในอนาคตเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาร์จะเติบโตมากและสร้างกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงเพิ่มขึ้น โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งจึงมีความคิดที่จะเข้าไปเปิดโรงพยาบาลในเมียนมาร์ในอนาคต แต่คงต้องรอให้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุนชัดเจนมากกว่านี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดี และจะได้รับการคุ้มครองที่น่าเชื่อถือ (Credible Investment Protection)

หากนักลงทุนไทยต้องการเข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา ส.ป.ป.ลาว และเมียนมาร์จริงๆ ก็คงจะต้องมีสายป่านในการลงทุนที่ยาวเป็นพิเศษ ควรมีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจที่สูง และ/หรือควรมีพันธมิตรทางธุรกิจในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ เพราะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบหรือสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ให้ได้เร็ว และพร้อมยอมรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกของการเข้าไปลงทุนด้วย

รัฐบาลไทยก็มีบทบาทในการสนับสนุนธุรกิจโรงพยาบาลที่ต้องการไปลงทุน ลดอุปสรรคของการลงทุนไปพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น การจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาล การจัดตั้งหน่วยงานที่มีการทำวิจัยและองค์ความรู้ในทุกมิติ ที่เกี่ยวกับภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง การเจรจาให้เกิดกลไกการคุ้มครองการลงทุนที่เป็นรูปธรรมและเชื่อถือได้ และการเจรจาเพื่อลดข้อกีดกันบางประการ โดยเฉพาะในด้านการว่าจ้างบุคลากรทางการแพทย์ท้องถิ่น อันส่งผลต่อการควบคุมคุณภาพการรักษาของธุรกิจโรงพยาบาลไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ รัฐยังควรศึกษาและควบคุมผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนขาออกนี้ด้วย โดยปัจจุบันองค์ความรู้ส่วนนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แต่คาดได้ว่าการลงทุนจะทำให้ประเด็นความขาดแคลนแพทย์ซับซ้อนขึ้นจนอาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการแก่คนในประเทศ

 ----------------

ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ และ ดร.ธัชนันท์ โกมลไพศาล

คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นักวิจัยฝ่าย 1 สกว.