การจูงใจสำหรับคนยุคใหม่

การจูงใจสำหรับคนยุคใหม่

ความท้าทายที่สำคัญของผู้บริหารทุกระดับคือ การที่จะจูงใจและขับเคลื่อนลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานต่างๆ ด้วยความทุ่มเทและมุ่งมั่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ ที่เติบโตมาด้วยวิธีการคิดที่แตกต่างจากบรรดาผู้บริหารองค์กรในปัจจุบัน ซึ่งจริงๆ ก็มีทฤษฎีและหลักการจูงใจต่างๆ ออกมามากมาย แต่หลักการและทฤษฎีเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าเมื่อนำไปใช้ถึงจุดๆ หนึ่ง ก็จะล้าสมัยไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในรุ่นใหม่

ในอดีตเรามีความเชื่อว่าจะจูงใจคนได้นั้น จะต้องทำให้เขาถึงความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ทำกับผลที่จะได้รับ หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษคือหลักของ If-then (ถ้าทำงานหนักและทุ่มเท แล้วจะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือนในที่สุด) แต่จากงานวิจัยล่าสุด ทั้งทางด้านการแพทย์และการจัดการ จะพบว่าการจูงใจแบบ ถ้า-แล้ว จะใช้ได้กับงานบางประเภทเท่านั้นเอง และเป็นงานที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้กระบวนการทางความคิดมาก และเป็นงานระยะสั้น นอกจากนี้ นักคิดบางคนยังบอกด้วยว่าการจูงใจแบบ ถ้า-แล้ว เหมาะกับงานในศตวรรษที่แล้ว

ลองนึกภาพคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันดูก็ได้ครับ ว่าเมื่อเขาเข้าสู่การทำงาน ถ้าบอกว่า “ถ้าคุณทำงานหนัก มีผลงานที่ดี อีกไม่เกิน 2-3 ปี คุณจะได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง” ท่านผู้อ่านคิดว่าคนในยุคใหม่จะมีแรงจูงใจในการทำงานและจะอยู่กับเรานานไหมครับ?

เราอาจจะรู้สึกว่าคนรุ่นใหม่นั้นใส่ใจกับเรื่องของเงินมากขึ้น ซึ่งก็จริงครับ แต่เงินกับการจูงใจนั้น จะสามารถใช้ได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง (นั่นคือมีเงินพอแล้ว จนเงินไม่ใช่ปัจจัยจูงใจอีกต่อไป) แล้วถ้าเงินไม่ใช่ปัจจัยในการจูงใจ แล้วอะไรคือสิ่งที่จูงใจคนรุ่นใหม่ได้?

ผมเคยมีโอกาสไปฟังนักคิดท่านหนึ่งที่ชื่อ Danial Pink พูดในต่างประเทศถึงปัจจัยที่จะใช้ในการจูงใจคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานในยุคปัจจุบันกับคนรุ่นใหม่ คุณ Dan Pink ท่านนี้ระบุไว้เลยครับว่า มีปัจจัยสามอย่างที่สามารถจูงใจคนรุ่นใหม่ได้ดี นั่นคือ Autonomy หรือความเป็นอิสระ Mastery หรือความอยากที่จะเก่ง และ สุดท้ายคือ Purpose หรือ จุดประสงค์

แนวคิดของคุณ Pink นั้น เขาเน้นที่แรงจูงใจหรือแรงขับเคลื่อนในการทำงานนะครับ ดังนั้น ปัจจัยทั้งสามประการจึงเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานเป็นหลัก ปัจจัยประการแรกคือ Autonomy นั้นคือความอิสระ เนื่องจากมองว่าในการทำงานปัจจุบันพนักงานจำนวนมากไม่ได้เกิดความผูกพัน (Engage) กับทั้งองค์กรและงานเท่าไร รูปแบบการบริหารที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นรูปแบบการบริหารที่เน้นการควบคุม และการที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ แต่ในการทำงานยุคปัจจุบัน จะเน้นการทำงานที่ให้อิสระกับผู้ทำงานมากขึ้น (คล้ายกับหลัก Holacracy ที่ผมได้เขียนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วครับ) และการที่บุคลากรได้ทำงานอย่างอิสระก็จะยิ่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้พนักงานได้เกิดทั้งความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น และอยากจะทำงานดีๆ มากขึ้น

แนวคิดพื้นฐานที่สำคัญก็คือ ถ้าเรามั่นใจว่าเรามีพนักงานที่ดี มีความสามารถ คนที่ดีและมีความสามารถย่อมอยากจะทำในสิ่งที่ดี ดังนั้น หน้าที่ของผู้บริหารคืออย่าไปขวางทางต่อคนที่ดีและมีความสามารถเหล่านั้น (ย้ำนะครับว่าต้องทั้งดีและมีความสามารถด้วย มีความสามารถแต่ไม่ดี เห็นแก่ตัวก็ไม่ได้ครับ)

ปัจจัยประการที่สองคือ Mastery หรือความอยากที่จะเก่ง ก็คือความอยากของคนที่เราจะก้าวหน้า พัฒนาในสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีขึ้น หรือในสิ่งที่ตนเองมีความรู้ ความเชี่ยวชาญให้มากขึ้น และการที่เราจะพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลานั้น เราก็ต้องได้รับ Feedback หรือ ข้อมูลป้อนกลับจากคนรอบข้าง และยิ่งถ้าเป็นคนรุ่นใหม่แล้วการได้รับ Feedback อยู่เสมอ เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาตนเองนั้น ถือเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ปราถนามากอย่างหนึ่งครับ

ปัจจัยประการที่สามคือ Purpose หรือจุดประสงค์ครับ หลักการก็ง่ายๆ ว่าทำงานไปเพื่ออะไร? การทำงานเพื่อกำไรนั้น ไม่สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดแรงผลักดันในการทำงานได้อีกต่อไป เราจะต้องสามารถให้สาเหตุหรือเหตุผลในการทำงานที่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน และกินใจให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อที่จะให้เขามีแรงขับเคลื่อนในการทำงานต่อไป

ดังนั้น สรุปง่ายๆ ว่าตัวที่จะขับเคลื่อนให้คน (โดยเฉพาะรุ่นใหม่) ทำงานได้ดีนั้น หนีไม่พ้นสามปัจจัยนั้น คือ การได้ทำงานโดยปราศจากการควบคุม บังคับ การได้พัฒนาตนเองในสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลา และการทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายของการทำงานที่ชัดเจน