ปฎิวัติอะไร? ในปฏิวัติวัฒนธรรมจีน (2)

ปฎิวัติอะไร? ในปฏิวัติวัฒนธรรมจีน (2)

ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 8 ครั้งที่ 12 วันที่ 13-31 ต.ค.1968 คณะกรรมการกลางพรรคฯได้เสนอให้หลินเปียวเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งครั้งแรก

และให้หลิวเส้าฉีอดีตประมุขประเทศเป็นผู้ทรยศ ไส้ศึก กระฎุมพี และให้ขับไล่ออกจากพรรคตลอดไป อย่างไรก็ตามเหมาเจ๋อตงพยายามปกป้องเติ้งเสี่ยวผิงระดับหนึ่งในที่ประชุมพรรค และให้มีโอกาสได้ไปทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งที่มณฑลเจียงซี หลิวเส้าฉีถูกควบคุมตัวโดยไม่มีข้อหา และคุมขังจนป่วยเป็นโรคปอดอักเสบและเสียชีวิตในปี 1969 ในเดือนธันวาคม 1968 เหมาเจ๋อตงได้ออกคำสั่งให้นักเรียนมัธยมต้นและปลายที่เรียนจบในปี 1966-67-68  กระจายออกไปตามภูเขาและไร่นานัยว่าเพื่อ “รับการศึกษาเพิ่มเติมจากชาวนาและผู้ยากไร้”

ในการประชุมใหญ่สมาชิกพรรคคอมมิวนิตส์จีน สมัยที่ 9 วันที่ 1 เมษายน 1969  หลินเปียวได้รายงานการเมืองต่อที่ประชุมโดยยืนยันถึง การปฏิวัติวัฒนธรรมของชนชั้นกรรมาชีพและประกาศทำลายล้างหลิวเส้าฉีในฐานะกบฎ ไส้ศึก และ กระฏุมพี หลินเปียวและบุคคลหลักๆ ในกลุ่มย่อยปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างเจียงชิง ต่างได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมให้เป็นกรรมการกลางพรรคฯ และ กรรมการโปลิตบูโร ส่วนโจวเอินไหลยังคงสามารถรักษาตำแหน่งอันดับ 3 ของพรรคได้ต่อไป และเป็นเพียงบุคคลเดียวในขณะนั้นที่ทำการบริหารกิจการงานของประเทศทั้งหมด

ช่วงเวลาหลังจากนั้น มีการกล่าวกันว่า เหมาเจ๋อตงเริ่มมีความสงสัยในตัวหลินเปียวว่า อาจมีแผนการช่วงชิงอำนาจได้ และกองทัพอากาศจะเป็นกำลังหลักที่ใช้เพื่อการนั้น แต่ไม่พบว่ามีงานเขียนใดที่สามารถระบุหลักฐานได้ สิ่งที่แน่ชัดคือวันที่ 13 กันยายนของปีเดียวกัน หลินเปียวได้ใช้เครื่องบินกองทัพอากาศหนีออกนอกประเทศ และเสียชีวิตจากเครื่องบินตกที่ประเทศมองโกเลีย

ในปี 1973 เหมาเจ๋อตงได้แต่งตั้งให้หวังหงเหวิน เป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ลำดับที่ 2 ต่อจากโจวเอินไหล ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 10 ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นสิ่งแสดงเป็นนัยๆ ว่า เขาจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนต่อไป การประชุมพรรคฯ สมัยที่ 10 ยังได้แต่งตั้งเหมาเจ๋อตง หวังหงเหวิน เอี้ยเจี้ยนอิง จูเต๋อ หลี่เต๋อเซิน จางชุนเฉียว โจวเอินไหล คังเซิน และต่งปี้หวู่ เป็นกรรมการโปลิตบูโรชุดใหม่ ทำให้กลุ่มย่อยคณะทำงานปฏิวัติวัฒนธรรม ได้เข้าไปอยู่ในคณะกรรมการโปลิตบูโรทั้งหมด 4 คน หรือที่เรียกว่า แก๊งค์ 4 คน หรือ 四人帮 (ซื่อเหรินปัง) การประชุมสมัยที่ 10 ยังได้ตัดใจความในข้อบังคับพรรคที่ให้หลินเปียวเป็นผู้สืบทอดอำนาจ และเน้นย้ำว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมจะต้องมีต่อไป  อีกทั้งจะต้องมีอีกหลายครั้ง

เดือนตุลาคม 1974 โจวเอินไหลเข้าโรงพยาบาล เติ้งเสี่ยวผิงได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการพรรคฯ ให้เป็น รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 และรองประธานในคณะกรรมการกลางของพรรคฯ ในทางปฏิบัติเขาคือผู้ที่กุมอำนาจการบริหารงานแผ่นดินประจำแต่เพียงผู้เดียว และยังสานต่อนโยบาย 4 ทันสมัยของโจวเอินไหลด้วย ต่อมาเหมาเจ๋อตงก็ป่วยหนักเช่นเดียวกัน โจวเอินไหลเสียชีวิตในวันที่ 8 มกราคม 1976 ทำให้เกิดกระแสการรำลึกและอาลัยโจวเอินไหลไปทั่วกรุงปักกิ่ง แม้ว่าจุดประสงค์ของกระแสเป็นการรำลึก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นโอกาสที่จะแสดงความไม่พอใจต่อการปฏิวัติวัฒนธรรมที่อัดอั้นกันมานาน

ทางด้านซื่อเหรินปังนั้น เมื่อหมดหลินเปียวและโจวเอินไหลแล้ว บุคคลเดียวที่เหลือเป็นอุปสรรคก็คือเติ้งเสี่ยวผิงเท่านั้น พวกเขาได้ขออนุมัติต่อเหมาเจ๋อตงเพื่อ รื้อฟื้นคดีฝ่ายขวาและทำการโจมตีเติ้งเสี่ยวผิง แต่เหมาเจ๋อตงเพียงแต่แต่งตั้งให้หัวกั๋วเฟิง เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทน

ปลายเดือนมีนาคม เกิดการชุมนุมใหญ่ไว้อาลัยโจวเอินไหลและต่อต้านซื่อเหรินปังในนานกิง ตามมาด้วยการชุมนุมใหญ่ในกรุงปักกิ่งในวัน “เช็งเม้ง” ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่ออาลัยต่อโจวเอินไหลเช่นเดียวกัน เหมาเจ๋อตงตำหนิเติ้งเสียวผิงว่า เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังและปลดเขาออกจากทุกตำแหน่ง แต่ยังเปิดช่องไว้ว่า “รอดูพฤติกรรมภายหลัง”  ในเวลาเดียวกันก็แต่งตั้ง หัวกั๋วเฟิง เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ และเป็นรองประธานพรรคลำดับที่ 1

เหมาเจ๋อตงเสียชีวิตในวันที่ 9 กันยายน 1976 ซื่อเหรินปังสะสมกำลังคนในเซี่ยงไฮ้และมีแผนการยึดอำนาจ วันที่ 6 ตุลาคม 1976 หัวกั๋วเฟิงชิงลงมือปฏิบัติการก่อน ด้วยการสนับสนุนของเอี้ยเจี้ยนอิง ผู้อาวุโสพรรคและกองทัพ กับ วังตงซิง นายทหารคนสนิทของเหมาเจ๋อตง โดยอาศัยการเรียกประชุมซื่อเหรินปังบังหน้าแล้วสั่งจับซื่อเหรินปังทั้งหมด อีกทั้งยังส่งคนเข้าประจำสำนักงานหนังสือพิมพ์มากฉบับที่ซื่อเหรินปังใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ วันที่ 7 ตุลาคม ที่ประชุมคณะกรรมการพรรคฯ แต่งตั้งให้หัวกั๋วเฟิงเป็นประธานคณะกรรมการพรรคฯ  เหตุการณ์นี้เรียกว่า การบดขยี้แก็งค์ 4 คนและการปฏิวัติวัฒนธรรมก็จบสิ้นลง

การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 10 ครั้งที่ 3 ลงมติเพิกถอนตำหน่งกรรมการถาวรโปลิตบูโรของหวังหงเหวินกับจางชุนเฉียวอย่างถาวร และเพิกถอนสมาชิกภาพพรรคของกรรมการโปลิตบูโรเจียงชิงกับเอี้ยวเหวินเหวียน นอกจากนี้ ยังให้เพิกถอนตำแหน่งทุกตำแหน่งนอกพรรคด้วยทั้ง 4 คน ในคราวเดียวกัน ที่ประชุมคืนตำแหน่งกรรมการพรรคฯ กรรมการประจำ รองประธานคณะกรรมการกลางพรรคฯ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะเสนาธิการทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนให้แก่เติ้งเสี่ยวผิงทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติวัฒนธรรมจีนสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการจริงๆ จากการประกาศของหัวกั๋วเฟิงในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิส์จีนสมัยที่ 11 ในปี 1977

สรุปและวิจารณ์

ในประวัติศาสตร์จีน ผู้ที่สามารถยึดอำนาจการปกครองประเทศมีสองภารกิจหลักที่จะต้องทำคือ การปราบปรามฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก และ การปกครองประเทศให้ประสบความสำเร็จ ประชาชนมีความสงบสุขและประเทศเจริญรุ่งเรือง

สำหรับเหมาเจ๋อตงแล้ว  อาจกล่าวได้ว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้การปกครองของเขาไม่ประสบความสำเร็จกับภารกิจหลัง ในช่วงตั้งแต่ก่อตั้้งจนถึงการปฏิวัติวัฒนธรรม เท่าที่ผ่านมาไม่มีการพูดถึงว่า การไม่ประสบความสำเร็จกับภารกิจหลังนี้ มาจากขีดความสามารถหรือโชคชะตา เช่น ภัยธรรมชาติ เป็นต้น

ส่วนเรื่องของฝ่ายตรงข้ามภายในพรรคนั้น ยังไม่เคยปรากฏว่ามีการพูดถึงโดยทั่วไปตั้งแต่การต่อสู้กับก๊กมินตั๋ง และญี่ปุ่น อาจเป็นไปได้ว่าในช่วงดังกล่าวไม่มีความแตกแยกหรือไม่มีใครคิดแตกแยก หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ความคิดเห็นต่างเริ่มปรากฏ แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิด สถานการณ์หลังจากนั้นจึงเข้าลักษณะการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามของเหมาเจ๋อตง ซึ่งก็คือผู้ถืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศโดยตำแหน่ง

เหตุการณ์ที่ได้ลำดับมาข้างต้นทำให้เชื่อได้ค่อนข้างแน่ชัดว่า เหมาเจ๋อตงมีส่วนในการสร้างเหตุการณ์ทั้งหมดของการปฏิวัติวัฒนธรรม  เพียงแต่ว่าระดับการมีส่วนร่วมหรือสั่งการมีมากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง

เหมาเจ๋อตง ปลุกระดมเยาวชนเกือบทั้งประเทศให้กลายเป็นเรดการ์ด เพียงเพื่อล้มล้างผู้ที่มีความคิดไม่ตรงกันเพียง 2-3 คน อาจจะมีผู้ที่มีความคิดเหมือนกัน 2-3 คนนี้บ้าง ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ และเป็นพวกที่ไม่ได้ตั้งใจสู้อยู่แล้ว เพียงแต่ออกมาประกาศครั้งสองครั้งในโอกาสที่เหตุการณ์เข้าทางพวกเขาเท่านั้นเอง

นอกจากนี้ เหตุการณ์ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เหมาเจ๋อตงจะคิดตั้งใครเป็นรองประธาน กรรมการกลาง หรือกรรมการโปลิตบูโร ก็ทำได้ดังใจปรารถนา แต่ผลกระทบบานปลายทางลบเกิดขึ้นมากมายมหาศาล อย่างน้อยที่สุดเยาวชนทั่วประเทศไม่ได้เรียนหนังสือถึง 10 ปี ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องถูกทำร้ายบาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมาก โบราณวัตถุโบราณสถานถูกทำลาย  ทรัพย์สินประชาชนถูกปล้นและหยิบฉวยตามอำเภอใจ ในระหว่างนั้นสังคมจีนตกอยู่ในภาวะอันตรายและล่อแหลมอย่างยิ่งต่อการแทรกแซงจากต่างประเทศถึงขั้นหายนะได้

ถ้าหากเหมาเจ๋อตงไม่ใช่เป็นผู้นำที่ทำการต่อสู้กับญี่ปุ่นผู้รุกราน และทำการต่อสู้กับรัฐบาลก๊กมินตั๋งและขุนศึกที่ฉ้อราษฏร์บังหลวง เขาสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการประนามในฐานะผู้ทำลายชาติ

เมื่อถามว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งนี้ปฏิวัติอะไร ก็ต้องตอบว่า การปฏิวัติมี แต่ไม่ได้ปฏิวัติหรือเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมอะไรเลย นอกจากเป็นการปฏิวัติฝ่ายตรงข้ามที่มีความคิดไม่ตรงกันเท่านั้นเอง แถมยังเป็นการทำลายวัฒนธรรมด้วยซ้ำไป