ที่เก่งไม่เห็น ที่เห็นไม่เก่ง

เราทุกคนมีความเก่งอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในตัวเรา แต่ส่วนมากจะละเลยความเก่งของตนเอง ไม่เห็นความเก่งของตนเอง
กลับไปเห็นว่าคนอื่นเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะในสังคมที่คนโอ้อวดมักได้ดี เราไม่เห็นความเก่งของตัวเรา แต่ไปเห็นความไม่เก่งของคนอื่นว่าเป็นความเก่ง ภายในสังคมโอ้อวด
ความเก่งที่ไม่อวดให้คนอื่นเห็นนั้น ไม่แตกต่างไปจากสินค้าชั้นดีในร้านสะดวกซื้อ ที่วางอยู่ชั้นล่างในด้านหลังสุดของร้าน เทียบกับสินค้าที่แสนจะธรรมดาแต่วางไว้หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน คนเห็นแต่สินค้าธรรมดานั้นและของธรรมดาขายดีกว่าของที่ดีกว่า ดีกว่าก็จริงแต่คนไม่เห็น ยิ่งถ้าเป็นขีดความสามารถของคนแล้ว ยิ่งแย่ลงไปใหญ่ หากตัวเองยังไม่เห็นว่าตัวเองเก่งในเรื่องนั้น ที่เราเก่งเรากลับไม่เห็น ที่เราเห็นแท้จริงแล้วไม่ใช่ความเก่ง เป็นแค่การโอ้อวด
คนเก่งหลายคนทำตัวเองให้ไม่เก่ง หรือทำให้ความเก่งของตนเองไม่ยั่งยืน ด้วยการที่ไม่เรียนรู้ที่จะเติมเต็มความเก่งนั้น ความเก่งที่มีอยู่จึงลดด้อยถอยลงไปตามเวลา วันหน้าก็กลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรเก่งสักอย่างตามที่คิดไว้จนได้ ระลึกไว้เสมอว่า สังคมที่คนโอ้อวดได้ดีนั้น เป็นสังคมที่ทำให้คนเก่งกลายเป็นคนไม่เก่งได้อย่างง่ายดาย แค่เคลิ้มไปกับคารมโอ้อวดของใครบางคน เราก็กดตัวเราเองให้จมลงจนไม่เห็นความเก่งของตัวเราได้แทบจะในทันทีทันใด ถ้าอยากธำรงความเก่งของเราไว้ เราไม่จำเป็นต้องไปอวดความเก่งของเราตามคนชอบโอ้อวด แต่เราต้องเห็นความเก่งของตัวเราเอง ธำรงความเก่งนั้นไว้โดยไม่หลงไปกับความเก่งที่ไม่มีอยู่จริงจากคารมของจอมโอ้อวด
เราไม่ค่อยเห็นความเก่งของเรา เหตุหนึ่งมาจาการที่เราคุ้นเคยกับเรื่องที่เราเก่งจนเห็นไปว่าเรื่องที่เราทำได้ง่ายๆ อยู่ทุกวันนั้น เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้ เราทำเรื่องที่เราเก่งได้ง่ายจนกระทั่งเราคิดไปเองว่าเป็นเรื่องที่ง่ายๆ จนไม่มีใครจะทำไม่ได้ ความคุ้นเคยกับความเก่งปิดตาไม่ให้เรามองเห็นความเก่งของตัวเราเอง พอไปเจอบางเรื่องที่เราไม่ได้ทำอยู่เป็นประจำ เราเองก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องนั้นจริงๆ แล้วยากหรือง่าย แต่พอดีไปเจอจอมโอ้บางคนอวดว่าเขาทำเรื่องที่ยากเย็นนั้นได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ด้วยคารมและท่าทีที่ชวนให้เชื่อว่าเก่ง เราเลยไปเห็นว่าความไม่เก่งนั้นเป็นความเก่ง ประกอบกับตัวเองอาจจะโอ้ไม่เก่ง เลยยิ่งสนับสนุนให้เราเห็นแต่ความเก่งของคนอื่น ยิ่งเห็นคนอื่นเก่งมากเท่าใด ยิ่งโอ้อวดน้อยเท่าใด เรายิ่งมืดมนมองไม่เห็นความเก่งของเรามากขึ้นเท่านั้น
การค้นหาให้เห็นความเก่งของตัวเรา เริ่มต้นจากเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องที่เราทำได้ง่ายๆนั่นเอง ลองมองไปรอบตัวใหม่อีกครั้งว่า เรื่องเดียวกับที่เราเห็นว่าง่ายจนใครก็ทำได้นั้น คนอื่นทำได้ง่ายๆ อย่างที่เราคิดหรือไม่ ถ้าดูดีๆ แล้วเห็นว่าเรื่องง่ายๆ ของเรา คนอื่นดูไม่ง่ายเหมือนกับเรา แสดงว่าเรื่องนั้นเรามีแววจะเก่งเรื่องนั้นกว่าคนอื่นแล้ว ลองนึกต่อไปว่าเมื่อใดก็ตามที่เราพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้น เรานึกถึงรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เราพูดคุยด้วยความสบายใจ เสียงใสกว่าเวลาที่คุยเรื่องงานกับเจ้านายหลายร้อยเท่า ค่อนข้างแน่ใจได้ว่าเป็นเรื่องที่เราเก่ง ใครมาถามว่าเรื่องนั้นทำอย่างไร เราแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ในการอธิบายขั้นตอนต่างๆ และเรารู้สึกดีที่ได้บอกกล่าวเรื่องนั้นกับคนอื่น แสดงว่าเราเก่งเรื่องนั้นจริง
เมื่อมองเห็นความเก่งของเราแล้ว อย่าอยู่เฉยกับความเก่งนั้น ถ้าเป็นความเก่งที่กำลังเป็นที่สนใจในวันเวลาขณะนั้น คงต้องเริ่มอวดความเก่งกันบ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนโอ้อวดก็ตาม ความเก่งหลายอย่างที่ในวันหนึ่งในอดีตเป็นความเก่งที่มีอยู่มากมาย ใครๆ ก็เก่ง แต่วันเวลาเปลี่ยนไป บริบทต่างๆ เปลี่ยนไป ความเก่งนั้นอาจหายไปจากคนหลายคน จนกลายเป็นความเก่งที่บางคนเท่านั้นที่มีอยู่ แต่ก่อนนี้ใครๆ ก็ทำกับข้าวเก่ง แต่วันนี้คนทำกับข้าวเก่งกลายเป็นเชฟกระทะเหล็กไปแล้ว ความเก่งที่อยู่ในตัวเราอาจไม่มีประโยชน์ในอดีต แต่อาจกลายเป็นความเก่งที่เป็นที่ประสงค์ของผู้คนในอนาคตก็ได้ แต่ก่อนปลูกผักปลูกดอกไม้เก่งเป็นความเก่งที่ดูว่าใครๆ ก็เก่งได้ วันนี้มีคนเอาความเก่งในเรื่องปลูกผักปลูกดอกไม้ ไปบวกกับเครื่องมือไอทีใหม่ๆ สารพัดอย่างที่มี จนปลูกผักปลูกดอกไม้ราคาแพงๆ ได้เร็ว ได้มาก ในต้นทุนที่ต่ำกว่าคนอื่นได้ เมื่อเห็นความเก่งของเราแล้ว ก็ต้องพยายามต่อยอดความเก่ง รักษาความเก่งนั้นไว้ให้ยั่งยืน ไม่มีใครบอกได้ว่าความเก่งของเราในวันนี้ จะกลายเป็นความเก่งที่สร้างคุณค่าที่มีมูลค่ามหาศาลในวันหน้าหรือไม่ เก่งแค่ไหนในวันนี้ ให้พยายามเพิ่มความเก่งในเรื่องนั้นต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่ได้เงินเพิ่ม ไม่ได้รางวัลใดๆ ในวันนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะต่อยอดความเก่งที่เราชอบให้ความสุขกับตัวเราได้อยู่แล้ว







