การวัดผลโครงสร้างพลังงานของประเทศ

การวัดผลโครงสร้างพลังงานของประเทศ

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้มีโอกาสติดตามท่าน รมว.พลังงาน (ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี) ไปร่วมประชุม World Economic Forum (WEF) on East Asia

ณ กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย และผมได้รับรายงานที่น่าสนใจฉบับหนึ่ง ที่ชื่อว่า “Global Energy Architecture Performance Index Report2015”  จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนบทความเพื่อเล่าสู่กันฟัง และเห็นว่ากระแสการ “ปฏิรูปพลังงาน” เป็นที่พูดถึงอย่างมากในช่วงเวลานี้

ผมเห็นว่า การปฏิรูปอะไรก็แล้วแต่ หากจะปฏิรูปให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องรู้ตัวเองก่อนว่า เราจะปฏิรูปจากจุดไหนไปสู่จุดไหน แปลว่าต้องรู้จักตัวเองในปัจจุบัน และรู้จุดหมายที่เราฝันอยากจะไปให้ถึง ผมจึงคิดว่า รายงานฯ ฉบับนี้ของ WEF ในเรื่อง Energy Architecture Performance Index หรือ EAPI น่าจะบอกเราได้ดีถึงจุดเริ่มต้นว่า ปัจจุบันเรายืนอยู่จุดไหนในโลกนี้ และหากจะวาดฝันว่าเราต้องเป็นหนึ่งในอาเซียนแล้ว เราควรจะเดินหน้าไปอย่างไร และควรต้องปรับปรุงด้านใดบ้างเป็นพิเศษ โดยใช้ดัชนี EAPI เป็นตัววัดผล และบ่งชี้ในการกำหนดทิศทางการ “ปฏิรูปพลังงาน” ของเราให้ถูกทิศถูกทาง

ก่อนอื่นลองมาทำความรู้จักกับ ดัชนี EAPI นี้ก่อนว่า เป็นดัชนีเปรียบเทียบที่ใช้สเกลจาก 0 ไปถึง 1.0 เป็นตัววัด หากคะแนนยิ่งสูง หรือใกล้กับ 1.0 เท่าไร จะยิ่งเป็นเกณฑ์ที่ดี โดยวัดจากการเจริญเติบโตของการพัฒนาเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และการเข้าถึงความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เพื่อใช้ช่วยให้รัฐบาลในการกำหนดทิศทางระบบพลังงานของประเทศ ตามสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2013 และในปี 2015 ได้ดำเนินการวัดใน 125 ประเทศ ซึ่งค่า EAPI นี้ สามารถใช้เปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ เพื่อการปรับปรุงเป้าหมายของประเทศ ประกอบด้วยดัชนีชี้วัดหลัก 3 ด้าน ได้แก่

ด้าน Economic growth and development

เป็นดัชนีที่วัดการพัฒนาและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยจะวัดจากค่า Energy Intensity ของแต่ละประเทศจะมีค่าแตกต่างกัน ซึ่งวัดการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และจากการสนับสนุนและผลกระทบ เช่น การนำเข้าหรือส่งออกพลังงานต่อ GDP และการใช้พลังงานต่อผลผลิตของประเทศ โดยคำนวนจากการใช้พลังงานต่อ GDP รวมทั้งความสามารถในการจัดหาพลังงาน ซึ่งจะพิจารณาจากราคาค่าไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม ราคาน้ำมันดีเซล และราคาน้ำมันเบนซิน ที่ไม่มีการอุดหนุนจากภาครัฐ และมีการเก็บภาษีอย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากพลังงานจะเป็นตัวแปรที่เข้าไปเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ หรืออาจกลายเป็นตัวถ่วงหรือระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจได้ เช่น กรณีของประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ แม้ว่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่หากมีการอุดหนุนราคาน้ำมันมากเสียจนส่งผลต่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจอย่างมาก ก็อาจจะได้คะแนนน้อย

ด้าน Environmental sustainability

เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากมลพิษ เป็นดัชนีที่วัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตและการใช้พลังงาน โดยคำนวนจาก 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ค่าเฉลี่ยการใช้น้ำมันของรถยนต์โดยสาร ค่าปล่อยมลพิษจาก PM10, มีเทน (CH4) และไนตรัสออกไซด์ (NOx) จากภาคพลังงานต่อจำนวนประชากร และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากภาคการผลิตไฟฟ้า และส่วนที่ 2 สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงที่มีคาร์บอนต่ำใน Energy Mix ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และพลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น

ด้าน Energy access and security

เกี่ยวกับการเข้าถึงพลังงานและความมั่นคงด้านพลังงาน เป็นดัชนีที่วัดถึงการจัดหาพลังงานที่มีความมั่นคงและสามารถเข้าถึงได้ และการกระจายเชื้อเพลิง ซึ่งจะคำนวนจากตัวแปรที่สำคัญ ได้แก่

1.) การพึ่งพาตัวเอง โดยวัดจากจำนวนปริมาณการนำเข้าพลังงาน

2.) สัดส่วนการนำเข้าต่อการใช้พลังงาน โดยวัดจากความหลากหลายของการจัดหาพลังงานขั้นต้นทั้งหมด และ

3.) ระดับและคุณภาพของการเข้าถึงพลังงาน โดยวัดจากอัตราการมีไฟฟ้าใช้ หรือการเข้าถึงไฟฟ้าของประชาชน คุณภาพของการจัดหาไฟฟ้า และจำนวนประชาชนที่สามารถจัดหาเชื้อเพลิงในการหุงต้ม

ทั้งนี้ การวัดค่า EAPI ของแต่ละประเทศจะเป็นค่าเฉลี่ยของค่าที่วัดได้จากทั้ง 3 ด้าน และนำมาจัดลำดับ (RANK) ตามลำดับค่าที่วัดได้

โดย World Economic Forum ได้รายงานว่า ค่า EAPI ในปี 2015 ของประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 60 (คะแนนเท่ากับประเทศฟิลิปปินส์) จากจำนวนทั้งหมด 125 ประเทศ ที่ถูกประเมิน โดยที่ค่า EAPI ของไทยมีค่าอยู่ที่ 0.60 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของค่าการวัดข้อมูล 3 ด้าน คือ ด้าน Economic ได้คะแนน 0.49 ด้าน Environment ได้คะแนน 0.52 และด้าน Energy and security ได้คะแนน 0.78

ทั้งนี้ ถ้าหากค่า EAPI ของประเทศใดมีค่าใกล้ 1.00 แสดงว่าประเทศนั้นมีความก้าวหน้าในการเปลี่ยนด้านพลังงาน เพื่อการพัฒนาอยู่ในดัชนีที่ดี ซึ่งปี 2015 ประเทศที่มีค่า EAPI สูงสุดคือ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีค่าเท่ากับ 0.80 ขณะที่ประเทศเยเมนมีค่า EAPI ต่ำสุดคือ 0.40

จากข้อมูลที่ปรากฏในตาราง จะเห็นข้อเท็จจริงได้ว่า ไทยเรามีดัชนี EAPI เป็นอันดับ 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียน มีคะแนนเท่ากับประเทศฟิลิปปินส์ และตามหลังเพียงประเทศสิงคโปร์เท่านั้น โดยหากลงลึกไปถึงรายละเอียดเปรียบเทียบ ไทยเรากับสิงคโปร์ ก็จะพบว่า เราเป็นรองใน 2 ด้าน จากทั้งหมด 3 ด้าน คือ ด้าน Economic Growth& Developmentและด้าน Environmental sustainability

ดังนั้น หากเราจะเอาสิงคโปร์เป็นเป้าหมายเปรียบเทียบสำหรับอนาคตแล้ว ผมคิดว่าเราน่าจะต้องเร่งรัด “ปฏิรูป” ใน 2 ด้านนี้เป็นหลัก ซึ่งอาจจะไม่ยากเกินไปนัก หากเทียบกับพื้นฐานที่ประเทศไทยทำอยู่ในปัจจุบัน โดยผมคิดว่าเราควรเร่ง “ปฎิรูปพลังงาน” โดยการเอาจริงเอาจังกับเรื่องดังนี้

เร่งรัดการอนุรักษ์พลังงานให้ต่อเนื่อง จริงจัง เป้าหมายคือลดดัชนี Energy Intensity สร้างสมดุลใหม่ ด้าน Environmental sustainability มุ่งเน้นให้ระบบพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตไฟฟ้า กลั่นน้ำมัน หรือใช้พลังงานในทุกรูปแบบ ต้องปลดปล่อยค่ามลพิษให้น้อยที่สุด และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งหมายรวมถึง การจัดสมดุลการใช้เชื้อเพลิง (Energy Mix) ใหม่ ทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า และการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง

จากทั้ง 2 ข้อเสนอปฏิรูปพลังงานข้างต้น ประเทศไทยมีพื้นฐานที่ก้าวหน้าพอสมควรอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับปรุงให้ส่งสัญญาณเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ผมว่าประเทศไทยก็มีสิทธิจะไปยืนเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียน หรือจะไปโลดมากกว่านี้แล้วครับ

สุดท้ายนี้ ก็อยากฝากแง่คิดอีกนิด สำหรับแนวทางการปฏิรูปพลังงาน อยากให้ลองกลับมองไปที่ตารางอีกครั้ง จะมีอีก 2 ประเทศที่มีนักวิชาการบางคน เอามาเปรียบเทียบกับไทย และอยากให้ไทยเราเดินตาม ได้แก่ ประเทศโบลิเวีย และเวเนซุเอล่า

ผมว่าตัวเลขที่ปรากฎในตาราง ได้อธิบายในตัวมันเองแล้วครับ...

ผมล่ะคนหนึ่ง ที่จะไม่ขอเป็นแบบ โบลิเวีย แน่นอน

-------------------------------

ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร

รองปลัดกระทรวงพลังงาน