เปลี่ยนแปลงใน 3 ชั่วคน

หนทางหนึ่งในการถ่ายทอดภูมิปัญญาของสังคมไปสู่ชนรุ่นหลัง ก็คือสุภาษิต-คำพังเพยทั้งหลาย คำกล่าวสั้นๆ ที่บางครั้งเหมือนไม่มีที่มาที่ไป
กลับซ่อนนัยอันลึกซึ้งเอาไว้ภายใน
ชาวจีนมีคำพังเพยหนึ่งซึ่งไม่เพียงน่าสนใจ แต่มันแทบกลายเป็นสัจธรรมไปแล้ว มันคือประโยคที่ว่า “ไม่เกิน 3 ชั่วคน จะเกิดการเปลี่ยนแปลง” หมายความถึง ธุรกิจ/กิจการใดๆ ก็ตาม ไม่อาจรุ่งเรืองมั่นคงไปได้เกิน 3 รุ่น
รุ่นปู่บุกเบิกก่อร่างสร้างตัว รุ่นพ่อเติบโตมาพร้อมกัน ได้เห็นถึงความยากลำบาก ได้รับรู้ถึงความเหน็ดเหนื่อยมากมาย สองรุ่นช่วยกันสร้างกิจการจนเติบใหญ่รุ่งเรือง เมื่อหมดรุ่นปู่ รุ่นลูกเข้ามาช่วยพ่อ เพราะไม่รู้ไม่เห็นถึงความยากความเหนื่อยของคนรุ่นก่อน ย่อมติดสบายและปราศจากจิตใจที่ทุ่มเท กิจการจึงยากจะก้าวหน้าได้อีก ถ้าหมดรุ่นพ่อ ทุกอย่างก็ค่อยๆ เสื่อมถอยไป
นี่คือคำอธิบายที่บอกต่อกันมา
มองมุมนี้ ความรุ่งเรืองขึ้นกับ “ความขยัน” เป็นสำคัญแต่ความจริงแล้ว ความเจริญรุ่งเรืองของกิจการไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยเดียว ความขยันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นมีกิจการมากมายที่ลูกหลานพยายามอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ก็ยังไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
ปัจจัยสำคัญคือสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ถ้าทุกอย่างเปลี่ยนแปลง แต่เรายังขยันในแบบเดิมๆ ไม่เพียงไม่รอด อาจเจ๊งเร็วกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ในบริบทของกลยุทธ์การแข่งขัน (Competitive Strategy) ไมเคิล พอร์เตอร์ (Michael Porter) ได้นำเสนอ 5 Forces Mode l หรือพลัง 5 ประการที่ทำให้ธุรกิจแข่งขัน-อยู่รอด-รุ่งเรือง อันได้แก่ โครงสร้างตลาด อำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ อำนาจต่อรองกับลูกค้า ภัยคุกคามจากผู้มาใหม่ และภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
สิ่งที่มองยากที่สุดคือภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน เพราะมันจะมาพร้อมนิยามใหม่ - คุณค่าใหม่ - เทคโนโลยีใหม่ - ช่องทางใหม่ ฯลฯ ที่ผู้เล่นเดิมในตลาดคาดไม่ถึง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มักเริ่มต้นตรงนี้
แนวคิดการพัฒนาสินค้าข้ามตลาด-ข้ามอุตสาหกรรม เพื่อแย่งชิงกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้าที่น่าสนใจ ถูกพัฒนาเป็นแนวคิด Blue Ocean ที่บอกว่า กลยุทธ์เพื่อการอยู่รอดและรุ่งเรืองในยุคปัจจุบันคือ การแสวงหาโอกาสในพื้นที่ใหม่ๆ ที่ดีมานด์พร้อมเติบโตมหาศาล แต่ยังไม่มีใครเข้าถึงหรือจับจองได้
การกำเนิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์ค ก็เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง การเข้าถึงคนจำนวนมหาศาลโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาและด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก ก่อให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่ก้าวข้ามธุรกิจแบบเดิมๆ ทำให้แนวคิดธุรกิจและกลยุทธ์แบบเดิมๆ ล้าสมัยอย่างรวดเร็ว และแน่นอน กิจการ/ธุรกิจที่ไม่ยอมปรับตัว ต้องถูกทำลายลงไป
ทางเดียวที่กิจการเดิมๆ จะอยู่รอดและเติบโตรุ่งเรืองต่อไปได้ คือต้อง “ใหญ่มากๆ” จนสามารถครอบครอง-ควบคุม (1) เงินทุน (2) สายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจระดับโลก (3) เทคโนโลยีที่ดีหรือก้าวหน้าที่สุด (4) ทิศทาง (และจังหวะก้าวใน) การพัฒนาเทคโนโลยี
เงื่อนไขที่ 1-2 มีหลายคนทำได้ เช่น ตระกูลรอธไชลด์ (Rothschild) แต่เงื่อนไขที่ 3-4 ไม่มีใครทำได้ แม้แต่บิล เกตส์ที่รวยที่สุดในโลกและไมโครซอฟท์ก็ยังไม่สามารถควบคุมเทคโนโลยีได้ทุกอย่าง
การนำพาธุรกิจ/กิจการให้รุ่งเรืองต่อไปเกิน 3 ชั่วคน จึงยากลำบากมาก หากเรามองว่า นี่เป็นเรื่อง “โชคชะตา” ก็ต้องปล่อยวางมันลง แต่ถ้ามองว่า เป็นอิทธิพลของ “ดวงดาว” ถ้ามองอย่างนี้ โหราศาสตร์มีหนทางช่วยเหลือแก้ไข
ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของโลกคือความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทุกอารยธรรมที่สำคัญและยิ่งใหญ่ในอดีต ล้วนรู้จักและทำความเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ความไม่เที่ยงหรือ “การเปลี่ยนแปลง” ในภาษาสมัยใหม่ เกิดขึ้นจากอิทธิพลดวงดาวทั้งหลายที่โคจรไปตามจักรราศีนั่นเอง
เสาร์ (Saturn) เป็นดาวสำคัญในการควบคุมรูปแบบ-โครงสร้าง-กฎเกณฑ์-ระเบียบแบบแผน ฯลฯ ของสรรพสิ่งเรื่องราวทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางวัตถุรูปธรรม เสาร์จึงมักใช้แทนสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏเป็นโครงสร้างใหญ่โตชัดเจน เช่น ตึกสูง สะพานใหญ่ ฯลฯ รวมถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (Mega-project) ต่างๆ
มฤตยู (Uranus) เป็นดาวที่อยู่ถัดจากเสาร์ออกไป คุณสมบัติของมันจึงตรงข้ามกับเสาร์ เสาร์ควบคุม-ดำรงรักษาสภาพเดิม อันมีสภาพเป็น “หยิน” แต่มฤตยูเป็น “หยาง” คือ ปฏิเสธ-แหวกกรอบ-นอกคอก-ต่อต้าน-ทำลายสภาพเดิม มฤตยูทำลายอาณาเขตเดิมที่เสาร์ขีดเส้นไว้ เพื่อให้เกิดการค้นพบดินแดนใหม่และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่- ดี - เหมาะสมกว่าเดิม
ดังนั้น เมื่อดาวคู่นี้โคจรมีมุมดาว (Aspect) สัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงระดับใหญ่ - ระดับลึกซึ้งถึงโครงสร้าง - ซึ่งมีผลระดับโลก ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วัฏจักรเสาร์-มฤตยู (Saturn-Uranus Cycle) เป็นวัฏจักรแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก คุณสมบัติของมันสรุปสั้นๆ คือ “ทำลายเก่า - เพื่อสร้างใหม่” มันทำลายโครงสร้างเดิม - กฎระเบียบเดิม - หลักเกณฑ์เดิมๆ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการสร้างสรรค์ใหม่ๆ โครงสร้างใหม่ กฎกติกาใหม่ ฯลฯ
ถ้าอยากอยู่รอดและรุ่งเรืองภายใต้อิทธิพลดาวคู่นี้ ทางเดียวคือ เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างลึกซึ้ง (ไม่ใช่แค่ปรับตัว เพราะมันไม่เพียงพอ)
วัฏจักรเสาร์-มฤตยูกินเวลา 45 ปีท่านสังเกตเห็นอะไรไหม ? ตัวเลข 45 ปีคือระยะเวลา 2 ชั่วอายุคน รุ่นปู่รุ่นพ่อก่อร่างสร้างกิจการจนมั่งคั่งมั่นคงในวัฏจักรหนึ่ง พอถึงรุ่นลูกรับต่อ วัฏจักรเปลี่ยน ของเก่าใช้ไม่ได้ ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ การรับสืบทอดกิจการโดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย จึงไม่อาจไปต่อหรืออยู่รอดได้
นี่คือเหตุผลความนัยที่แท้จริงของ “ไม่เกิน 3 ชั่วคน จะเกิดการเปลี่ยนแปลง”
บางทีการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ปัญหาของรุ่นลูก แต่เป็นปัญหาของรุ่นปู่รุ่นพ่อ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าต้องเปลี่ยน ไม่ใช่ไม่อยากเปลี่ยน แต่มันไม่มีเวลา - ไม่เหลือเรี่ยวแรงไปสู้รบกับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การคุ้นเคย-ยึดติดกับวิธีคิดเดิมๆ โมเดลธุรกิจเดิมๆ จนไม่เหลือที่ว่างใดๆ ให้ใครได้ริเริ่มสิ่งใหม่
แม้เปิดโอกาสให้ทดลอง แต่ก็ตีกรอบควบคุมอย่างเข้มงวด (และไม่สนับสนุนอย่างจริงจัง) จนการเริ่มต้นใดๆ มักต้องล้มเหลว และกลายเป็นข้ออ้างในการทำทุกอย่าง “ตามเดิม” ต่อไป
ไม่มีความสำเร็จใดในโลกที่ยั่งยืนไปตลอดกาล สิ่งที่เคยได้ผล ไม่จำเป็นต้องได้ผลตลอดไป ทุกอย่างมีวัฏจักรของมัน เมื่อหมดรอบอิทธิพลของปัจจัยเดิม ก็ต้องแสวงหาปัจจัยใหม่เพื่อเติบโตต่อไป
ในทางโหราศาสตร์ ผู้นำรุ่นต่อไปของกิจการ จึงควรมีดวงชะตาที่สอดคล้องกับวัฏจักรใหม่ การวางแผนสืบทอดกิจการ (Successor Plan) ให้ก้าวไกลเกิน 3 รุ่น ย่อมไม่อาจมองข้ามประเด็นนี้
คำถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไร?







