ข้อคิดจาก Austria Hungary Croatia (1)

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีโอกาสเดินทางไปออสเตรีย ฮังการี และ โครเอเชีย
สิ่งที่ได้เห็นทำให้เกิดคำถามสำคัญๆ ดังนี้ คือ ทำไมอาคารรัฐสภาของฮังการี (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ถึงได้ใหญ่โตขนาดนั้น มีกำลังทางเศรษฐกิจจากไหนมาทำได้ ทำไมกระเบื้องหลังคาโบสถ์เซนต์มาร์ค (รูปที่ 2) ในซาเกรบจึงคล้ายกับโบสถ์เซนต์แมทธีอัส (รูปที่ 3) ในบูดาเปสต์ ฮังการีมีอิทธิพลต่อโครเอเชียอย่างไร ทำไมโบสถ์และอาคารบ้านเรือนทางชายทะเลอาเดรียติคถึงค่อนไปทางอิตาลี เช่น โบสถ์ซาดาร์ (รูปที่ 4)
การค้นคว้าประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศเพียงแต่ทำให้ทราบความเป็นมาของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่ไม่สามารถตอบคำถามข้างต้นได้ การนำเหตุการณ์ของแต่ละประเทศมาเทียบเคียงและหาความเกี่ยวข้องระหว่างเหตุการณ์ในช่วงเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ในประเทศอื่นกลับให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งและตอบคำถามเหล่านั้นได้ทันที
ออสเตรียอยู่ในฐานะผู้นำแห่งประชาชาติเยอรมัน (The Holy Roman Empire of the German Nation) ระหว่างศตวรรษที่ 10-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะทราบ ราชวงศ์ฮับสเบิกร์กครองตำแหน่งพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งประชาชาติเยอรมันจนถึงปี 1804 เป็นเวลาถึง 640 ปีและเป็นพระจักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรออสเตรียหลังจากนั้น
พระนางมาเรียเทเรเซาครองราชย์ในระหว่าง ค.ศ.1740-1780 แต่เนื่องจากเป็นเพศหญิงจึงไม่อาจดำรงตำแหน่งพระจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ จึงให้พระสวามีทรงดำรงตำแหน่งแทน แต่อำนาจทุกอย่างอยู่ในมือพระนางฯ การสืบราชสมบัติของพระนางมาเรียเทเรซาต่อจากพระราชบิดาไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากกษัตริย์แห่งปรัสเซียยุยงให้มีการแย่งชิงตำแหน่งจนเกิดสงครามที่เรียกว่า The War of Austrian Succession ในระหว่าง ค.ศ. 1740-1748 ตอนนั้นกองทัพจากฮังการีและโครเอเชียถือเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ได้รับชัยชนะ พระนางมาเรียเทเรซาจึงได้เสด็จไปเยือนเมืองบูดา (เมืองหลวงของฮังการีในขณะนั้น) และพระราชทานให้มีการก่อสร้างพระราชวังบูดา (Buda Castle) ขึ้นใหม่ เพื่อทดแทนที่พังทลายไปหมดในสงครามระหว่างออสเตรียกับออตโตมันเมื่อต้นศตวรรษที่ 18 โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 20 ปี จนใหญ่โตอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ (รูปที่ 5)
Shonbrunn เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่พระนางมาเรียเทเรซาทรงสร้างให้ใหญ่โตใกล้เคียงกับที่เห็นในปัจจุบันนี้ (รูปที่ 6) ในระหว่างปี ค.ศ. 1743-1783 ในยุคที่พระจักรพรรดินโปเลียนยึดครองออสเตรียเคยทรงประทับอยู่ที่นี่ในปี ค.ศ. 1805 และ 1809 ความพ่ายแพ้ของออสเตรียต่อนโปเลียนหมายถึงความสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และรัฐเยอรมันส่วนใหญ่ตีตัวออกห่าง พระจักรพรรดิฟรานซิสที่ 2 จึงสิ้นสุดสภาพพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันในปี 1806 และมีสถานะเป็นเพียงพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิออสเตรียเท่านั้น เมื่อนโปเลียนมาพ่ายแพ้เอาในปี 1815 ประเทศต่างๆ ที่ร่วมต่อสู้กับนโปเลียนได้ประชุมที่เวียนนาเพื่อแบ่งเส้นเขตแดนกันใหม่ภายหลังสงครามสิ้นสุดลงและออสเตรียได้เป็นประธานของ German Confederation
ปี 1848 เป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิออสเตรีย เมื่อเกิดขบวนการเรียกร้องอิสรภาพในแคว้นลอมบาดีทางเหนือของอิตาลี และ ฮังการีซึ่งอยู่ทางตะวันออกของออสเตรีย ในขณะเดียวกัน รัฐเยอรมันต่างๆ ซึ่งเป็นสมาชิกของ German confederation มีการรวมหัวกันกดดันออสเตรียให้เลือกเอาระหว่างการเป็นสมาชิกและการมีความสัมพันธ์กับรัฐในอาณัติที่ไม่ใช่เยอรมันซึ่งก็คือ ฮังการี แม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะไม่ได้มีผลกระทบอะไร ณ ขณะนั้น แต่ก็คุกรุ่นไปสู่เหตุการณ์ขั้นแตกหักในปี 1866
ฮังการี เป็นราชอาณาจักรที่มีอำนาจและมั่งคั่งในระหว่างศตวรรษที่ 12-15 แต่เข้าสู่ยุคตกต่ำภายหลังการรุกแผ่ขยายอำนาจของจักรวรรดิออตโตมันเข้ามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งกษัตริย์องค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ในการรบที่โมฮัค แม้ว่าอำนาจของออตโตมันจะถูกขับไล่ออกไปจากฮังการีในปลายศตวรรษที่ 17 ผู้ที่ขับไล่กลับกลายเป็นออสเตรีย ซึ่งมีอำนาจครอบครองฮังการีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวฮังกาเรียนบางส่วนพยายามต่อสู้เพื่ออิสรภาพ แต่ก็ไม่เป็นผลจนกระทั่งบานปลายสู่เหตุการณ์ประท้วงออสเตรียอันใหญ่โตในปี 1848 แต่จักรพรรดิ Franz Joseph ส่งกำลังเข้าปราบปรามพร้อมกับขอให้รัสเซียส่งกองทัพเข้าตีทางด้านตะวันออก เหตุการณ์ยุติในปี 1849 ด้วยความพ่ายแพ้ของฮังการีและการประหารชีวิตผู้นำประท้วง 13 คน
อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ของออสเตรียในแนวรบด้านอื่นๆ ในยุโรป ทำให้ออสเตรียจำเป็นต้องเจรจาประนีประนอมกับฮังการีที่เรียกว่า Austro-Hungary Compromise of 1867 ทั้งสองประเทศมีกษัตริย์พระองค์เดียวกัน แต่มีรัฐสภาและการปกครองที่แยกกัน ยกเว้นการทหารและการต่างประเทศ ในปี 1872 เมืองบูดา เปสต์ และ โอบูดา รวมกันเป็น บูดาเปสต์ หลังจากนั้น ภาวะเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก สาธารณูปโภคและอาคารต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในเมืองบูดาเปสต์ปัจจุบันเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคนั้น (รูปที่ 7 และ 8) ในขณะเดียวกันก็มีการตัดสินใจว่าจะสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นจนมีการวางศิลาฤกษ์ในปี 1882 สร้างเสร็จในปี 1902 และมีการประชุมเป็นครั้งแรกในปีนั้น (รูปที่ 9 และ 10)




