ซินเจียงกับ “แบรนด์มรดกโลก” บนเส้นทางสายไหม

“เส้นทางสายไหม” เป็นคำฮิตในยุคที่ผู้นำจีนต้องการเติมเต็ม “ความฝันของจีน” ให้เป็นจริง ด้วยการเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ
ภายใต้ยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” และการตั้งกองทุนเส้นทางสายไหม เพื่อทุ่มงบในการสร้างพลังขยายบารมีทางเศรษฐกิจเพื่อผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก อย่างไรก็ดี ยังมีอีกมิติที่น่าค้นหาคำตอบว่า ในการแข่งขันทางวัฒนธรรมหรือการใช้คุณค่าทางจิตใจ (Soft Power) เป็นเครื่องมือเชิงรุกบนเวทีโลกของจีนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
บทความในวันนี้จะหยิบยกกรณีการผลักดันดินแดนจีนตะวันตกตามแนวเส้นทางสายไหมโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวใน “เขตปกครองตนเองซินเจียง” จนสามารถได้รับแบรนด์มรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก (UNESCO) ได้สำเร็จในปี 2014 นับเป็นอีกลีลาทางการทูตของจีนบนเวทีวัฒนธรรมโลกที่น่าจับตามอง
สำหรับผู้เขียนร่วมในบทความนี้ คือ ผศ.ดร.ศิริลักษม์ ตันตยกุล รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเอเชียตะวันออก (ฝ่ายวิจัย) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ซินเจียง ดินแดนจีนตะวันตกเริ่มมีบทบาทในเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2006 เมื่อจีนได้ร่วมมือกับองค์การยูเนสโก จัดประชุมนานาชาติขึ้นที่นครอุรุมชี เมืองเอกของซินเจียง และได้ประสานความร่วมมือกับอีกหลายประเทศในเอเชียกลางเพื่อยื่นสมัครให้เส้นทางสายไหมขึ้นเป็นมรดกโลก และต่อมา ในปี 2009 จีนได้จับมือกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียกลางที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานในเรื่องนี้
ในที่สุด เมื่อปี 2014 คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเส้นทางสายไหมแนวแรก ภายใต้ชื่อ “Silk Roads : the Routes Network of Changan-Tianshan Corridor” รวมความยาวกว่า 5,000 กิโลเมตร แนวเส้นนี้พาดผ่านมณฑลเหอหนาน มณฑลส่านซี มณฑลกานซู่ และไปสุดชายแดนในดินแดนซินเจียงของจีน โดยขึ้นบัญชีแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมตามแนวนี้รวม 33 รายการ ในจำนวนนี้มีส่วนที่อยู่ในซินเจียง 6 รายการและครอบคลุมต่อเนื่องไปจนถึงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในอีก 2 ประเทศ คือ คาซัคสถานและคีร์กิซสถาน
ที่น่าสนใจ คือ ประเทศที่ขอยื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลกเส้นทางสายไหมครั้งนี้ คือ คีร์กิซสถาน (ไม่ใช่จีน) ภายใต้คณะกรรมการประสานงานระหว่างรัฐบาลที่จะบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกร่วมกัน จึงสะท้อนภาพของการบริหารมรดกโลกบนพื้นฐานของความร่วมมือของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ท่ามกลางการเมืองแห่งการแย่งชิงพื้นที่ทางวัฒนธรรมอันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกในอีกหลายประเทศ ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของจีนที่จะมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในเวทีการแข่งขันทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือขององค์การยูเนสโก
แน่นอนว่า การชูแบรนด์มรดกโลกที่ประกาศโดยยูเนสโกย่อมเอื้อประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวของจีนทั้งในด้านการสร้างภาพลักษณ์ การดึงดูดนักท่องเที่ยว การอนุรักษ์และพัฒนาที่ต้องทำควบคู่กันไป จากการศึกษาของนักวิชาการ Yang, C., Lin, H. & Han, C. (2010) ในบทความ Analysis of international tourist arrives in China : the role of World Heritage Sites ได้วิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้ามาท่องเที่ยวของต่างชาติในจีน ได้แก่ รายได้ ประชากรในพื้นที่ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และปัจจัยของการเป็นแหล่งมรดกโลกก็นับว่ามีผลอย่างมากต่อการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในจีน
ในกรณีของซินเจียง การได้รับแบรนด์มรดกโลกน่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเช่นกัน จากสถิติในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเยือนซินเจียงมากกว่า 1.5 ล้านคน
แม้ว่าจะมีผลกระทบจากปัญหาการก่อการร้ายและเหตุการณ์ความรุนแรงในหลายเมืองของซินเจียงอยู่บ้าง ภายใต้แบรนด์มรดกโลกทางวัฒนธรรมน่าจะช่วยทำให้ซินเจียงยังคงมีเสน่ห์น่าไปเยี่ยมเยือน โดยเฉพาะภาพเส้นทางสายไหมแห่งความรุ่งเรืองในอดีต หลายคนอยากไปเยือนดินแดนซินเจียงด้วยภาพในประวัติศาสตร์ที่สวยงามของเส้นทางสายแพรไหมที่มีขบวนพ่อค้าวานิชบนหลังอูฐเดินรอนแรมทางกลางทะเลทราย เพื่อนำสินค้าและสิ่งของล้ำค่าไปค้าขายหรือมอบเป็นบรรณาการทางการทูตแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้านในต่างแดน
ซินเจียงเป็นอีกดินแดนของจีนที่มีกลิ่นอายของการผสมผสานทางวัฒนธรรม และเต็มไปด้วยความหลากหลายของกลุ่มเชื้อชาติ มีทั้งชาวอุยกูร์ คาซัค หุย ตงเซียง ทาจิก อุซเบค ซาลาร์ โดยเฉพาะชาวอุยกูร์ (เชื้อสายเติร์กและนับถือศาสนาอิสลาม) เป็นประชากรที่อยู่อาศัยในซินเจียงมากที่สุด ดังนั้น ในแง่การบริหารปกครองของจีน ดินแดนแห่งนี้จึงมีชื่อทางการว่า “เขตปกครองตนเองชนชาติอุยกูร์ซินเจียง” (Xinjiang Uyghur Autonomous Region)
การขึ้นทะเบียนเส้นทางสายไหมเพื่อเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ยังเป็นการเปิดช่องให้สังคมจีนมีกระบวนการธรรมาภิบาลในหลายระดับมากขึ้น และมีการให้ความช่วยเหลือด้วยเงินทุนของรัฐบาลจีนผ่านองค์การยูเนสโกด้านการศึกษาและการอนุรักษ์มรดกโลก
ในส่วนของความซับซ้อนและประเด็นอ่อนไหวจากการนำสถานที่ซึ่งเป็น “มรดกของชนกลุ่มน้อย” ในจีนมาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้น รัฐบาลกลางของจีนก็ได้เคยผ่านร้อนผ่านหนาว เผชิญหน้ากับข้อวิจารณ์ต่าง ๆ นานา อย่างเช่นกรณีของพระราชวังโปตาลาในทิเบตหรือเมืองโบราณลี่เจียงของชนเผ่าน่าซีในยูนนาน หากแต่ในที่สุด สถานที่เหล่านั้นก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวจนสร้างรายได้ให้กับรัฐวิสาหกิจด้านการท่องเที่ยวของดินแดนจีนเหล่านั้น
ที่น่าสนใจ คือ การผลักดันให้เส้นทางสายไหมเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในครั้งนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการอย่างสุขุมและนุ่มนวล ด้วยการให้มิตรประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วม คือ คีร์กิซสถาน เป็นผู้ยื่นเสนอ ลีลาการทูตเชิงวัฒนธรรมบนเวทีมรดกโลกของจีนจึงเต็มไปด้วยภาพลักษณ์แห่งความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และเน้นใช้ซินเจียงเป็นดินแดนเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียกลาง รวมทั้งมีแผนในการบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกบนเส้นทางสายไหมร่วมกัน
ในการผลักดันเส้นทางสายไหมให้ขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับมรดกโลกโดยผ่านความร่วมมือกับเพื่อนบ้านได้สำเร็จในครั้งนี้ จีนเป็นฝ่ายรับประโยชน์อย่างเต็มที่ จากจำนวนแหล่งท่องเที่ยวที่ยูเนสโกได้ขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกตามแนวนี้รวม 33 รายการ แบ่งเป็นส่วนที่อยู่ในแผ่นดินจีนมากถึง 22 แห่งที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกันทีเดียว ตลอดจนการส่งเสริมการท่องเที่ยวแหล่งโบราณคดี เช่น การตามรอย “เส้นทางการจาริกบุญของพระถังซัมจั๋ง” หรือศึกษาร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรือง ประวัติการแผ่อิทธิพลของพระพุทธศาสนาเข้ามาในจีน และร่องรอยแห่งอารยธรรมบนผืนทราย อาทิ เมืองโบราณเกาซาง เมืองโบราณเจียวเหอ เป็นต้น
โดยสรุป ความสำเร็จในการผลักดันเส้นทางสายไหมด้วยการใช้ประโยชน์จากแบรนด์มรดกโลกย่อมจะช่วยแต่งเติมภาพฝันของผู้นำจีน พร้อมๆ กับช่วยสร้างภาพลักษณ์ด้านบวกต่อการท่องเที่ยวของซินเจียง และดินแดนจีนตะวันตกอีกหลายมณฑลตามแนวเส้นทาง ที่สำคัญ ทางการจีนจะต้องดูแลอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ให้ได้มาตรฐานและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของชุมชน ตามเงื่อนไขขององค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) และองค์การยูเนสโก ซึ่งหวังว่าจะช่วยอนุรักษ์ให้เส้นทางสายแพรไหมในประวัติศาสตร์สายนี้ให้กลายเป็นมรดกทางจิตใจของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริงต่อไป







