ขั้นตอนระยะเวลาการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม

ขั้นตอนระยะเวลาการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม

เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ก.พ.2558 ที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ “เดินหน้าประเทศไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน”

ณ ตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาล โดยมีกระทรวงพลังงานกับฝ่ายคัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเสวนา จากที่ได้ติดตามการเสวนาวันนั้นจากการถ่ายทอดสดทางอินเทอร์เน็ต ผมได้เห็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนพอสมควรของฝ่ายคัดค้าน ผมจึงคิดว่าจะเป็นประโยชน์ถ้าได้เขียนอธิบายถึงขั้นตอนระยะเวลาของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอย่างคร่าวๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนครับ


ในวงจรธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือที่เรียกว่า “ต้นน้ำ” (upstream) นั้น หลังจากที่ได้รับสัมปทานแล้วจะมีขั้นตอนการดำเนินการหลักๆ 4 ขั้นตอนดังนี้ 1. การสำรวจ (exploration) 2. การพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม (development) 3. การผลิต (production) และ 4. การรื้อถอน (abandonment)


ขั้นตอนการสำรวจ เริ่มต้นด้วยการสำรวจทางธรณีวิทยา (geological exploration) โดยนักธรณีวิทยาทำการศึกษาข้อมูลภาพถ่ายทางดาวเทียม และสำรวจภาคสนามเพื่อทำการสำรวจสภาพทางธรณีวิทยาของบริเวณพื้นที่เป้าหมายและพื้นที่ใกล้เคียงบนฝั่ง ทำการตรวจสอบพวกหินโผล่ เพื่อพิจารณาถึงโครงสร้างทางธรณีวิทยา อายุของหิน ลักษณะทางเคมี ข้อมูลหินต้นกำเนิดปิโตรเลียม หินกักเก็บ และทำการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะมีระบบปิโตรเลียม


หลังจากพบบริเวณที่น่าสนใจก็ทำการสำรวจเพิ่มเติมด้วยการสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ (geophysical exploration) ด้วยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์กายภาพ เช่น การสำรวจค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก (magnetic survey) การสำรวจค่าความโน้มถ่วงโลก (gravity survey) เพื่อวิเคราะห์หาขอบเขตและรูปร่างของแอ่งตะกอนที่น่าจะมีศักยภาพเป็นแหล่งปิโตรเลียมได้ ก็เหมือนเป็นการคัดกรองพื้นที่ที่น่าสนใจให้แคบลงไปอีก ซึ่งหลายๆ คนเข้าใจผิดมักจะนำแผนที่แอ่งตะกอนดังกล่าวซึ่งมีขนาดใหญ่กระจายทุกพื้นที่ไปเผยแพร่และเข้าใจว่าทั้งหมดนั้นคือแหล่งปิโตรเลียมซึ่งไม่ถูกต้องครับ เพราะแอ่งตะกอนในบางพื้นที่อาจจะไม่พบแหล่งปิโตรเลียมก็ได้ ยังคงต้องทำการสำรวจอย่างละเอียดต่อไป


การสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน (seismic survey) คือการส่งคลื่นไหวสะเทือนจากต้นกำเนิดลงไปชั้นหินใต้ดินและจับสัญญาณคลื่นที่สะท้อนขึ้นมาเพื่อแปลผลลักษณะโครงสร้างและความลึกของชั้นหินใต้ดิน ต้นกำเนิดของคลื่นที่ใช้ ได้แก่ ระเบิดไดนาไมต์ หรือใช้รถสั่นสะเทือน (vibroseis) สำหรับบนบกหรือปืนอัดอากาศ (air gun) สำหรับในทะเล


หลังจากนั้นก็นำข้อมูลทั้งหมดมาแปลผลประกอบกัน นักธรณีวิทยากับนักธรณีฟิสิกส์ก็จะสร้างแบบจำลองทางธรณีวิทยาขึ้นมาและหาโครงสร้างที่มีโอกาสค้นพบแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมแล้วทำการวางแผนเจาะหลุมสำรวจ (exploration well) ในตำแหน่งที่มั่นใจที่สุดของแต่ละโครงสร้างเพื่อลงไป “พิสูจน์” ว่ามีน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติหรือไม่ ซึ่งต้นทุนการเจาะหลุมสำรวจมีราคาแพงมากตั้งแต่ร้อยล้านบาทจนถึงหลักพันล้านบาทต่อหลุมขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่และสภาพทางธรณีวิทยา


ถ้าไม่พบเลยหรือหมดหวังแล้วก็คืนพื้นที่ให้กับรัฐไปแต่ถ้าพบปิโตรเลียมก็จะเจาะหลุมอีกหนึ่งหรือสองหลุมในแต่ละโครงสร้างเรียกว่าหลุมประเมิน (appraisal well) เพื่อเจาะพิสูจน์ขอบเขตของแหล่งปิโตรเลียมที่เราค้นพบ นอกจากนี้วิศวกรปิโตรเลียมจะเข้ามามีบทบาทในการวางแผนการทดสอบหลุม (well test) เมื่อมีการค้นพบปิโตรเลียม ในการทดสอบหลุมก็คือทดสอบศักยภาพการผลิตโดยวัดอัตราการไหลและความดันที่ก้นหลุม แล้วนำข้อมูลดังกล่าวประกอบกับข้อมูลทางธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์มาวิเคราะห์ถึงศักยภาพการผลิต ขอบเขตและปริมาณทรัพยากรของแหล่งปิโตรเลียมซึ่งกระบวนการสำรวจทั้งหมดที่กล่าวมานี้มักจะใช้เวลารวมกัน 5 ปีขึ้นไป


ต่อไปเป็นขั้นตอนการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมโดยจัดทำแผนการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมและประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ถ้าพบว่าไม่คุ้มค่าก็จะคืนแปลงสำรวจให้แก่รัฐไปแต่ถ้าคุ้มค่าก็จะได้รับการอนุมัติงบลงทุนดำเนินการก่อสร้าง สร้างฐานหรือแท่นกระบวนการผลิต ฐานหรือแท่นหลุมผลิต และอุปกรณ์การผลิตต่างๆ รวมถึงการเจาะหลุมผลิตในโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่มีการค้นพบปิโตรเลียมและยืนยันขอบเขตของแหล่งปิโตรเลียมแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้มีการใช้เงินลงทุนสูงมากอาจสูงถึงหลักหมื่นล้านบาทขึ้นอยู่กับขนาดของแหล่ง ในขั้นตอนการพัฒนาแหล่งนี้ก็จะกินเวลาอีก 3-5 ปี


ต่อจากนั้นก็เป็นขั้นตอนการผลิตโดยปกติจะใช้เวลา 20 ปีอย่างต่ำ ดังนั้น บริษัทก็จะวางแผนการผลิตให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่ได้รับสัมปทาน ซึ่งช่วงนี้จะมีการลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เป็นหลักหมื่นล้านบาทเพื่อรักษากำลังการผลิต โดยเฉพาะแหล่งที่เป็นกระเปาะเล็กๆ กระจายตัวตามรอยเลื่อนแบบที่พบในประเทศไทย แต่ละหลุมผลิตที่ผลิตจากกระเปาะเล็กๆ เหล่านี้จะมีอายุสั้น ก็จะต้องมีการลงทุนเจาะหลุมผลิตเพื่อหาปิโตรเลียมในกระเปาะอื่นๆ อย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก จึงทำให้แหล่งในประเทศไทยมีต้นทุนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต่อหน่วยสูงพอสมควร


หลังจากที่ผลิตปิโตรเลียมจนหมดอายุสัมปทานหรือกำลังการผลิตลดลงจนถึงจุดไม่คุ้มทุนแล้ว ก็จะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายคือขั้นตอนการรื้อถอน (Abandonment) จะต้องทำการรื้อถอนแท่นและอุปกรณ์การผลิตทั้งหมด และจะต้องปิดหลุมทุกหลุมด้วยคอนกรีตให้สนิท มักใช้เวลาประมาณ 1-5 ปีซึ่งส่วนนี้ก็มีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยเลยครับ


จะเห็นได้ว่าธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นธุรกิจระยะยาว 30 ปีขึ้นไป (แหล่งทรายน้ำมันในประเทศแคนาดามองกันถึง 50 ปีขึ้นไปครับ) จะต้องมีการลงทุนในช่วงสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเป็น 10 ปี โดยไม่มีผลผลิตหรือรายได้เข้ามาเลย แต่ต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่บริษัทผู้ลงทุนก็ต้องรับความเสี่ยงทั้งโอกาสในการค้นพบปิโตรเลียม ความเสี่ยงที่ผลผลิตอาจจะต่ำกว่าคาด และความเสี่ยงจากการชำระหนี้อีกด้วย ถ้าระบบไม่เอื้อต่อการลงทุนและไม่เหมาะสมกับศักยภาพแหล่งปิโตรเลียมก็จะไม่มีใครสนใจอยากลงทุน ถ้ารัฐจะลงทุนสำรวจเองก็จะเป็นการนำเงินภาษีของประชาชนไปเสี่ยงและเงินจมนานซึ่งผมมองว่าอาจจะไม่คุ้มค่ากัน


ดังนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากตอนนี้คือประเทศไทยมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วเหลือเพียงประมาณ 6-7 ปีเท่านั้น และกว่าจะสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมให้สามารถผลิตได้ก็กินเวลาถึง 10 ปี มาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติความมั่นคงทางพลังงานแล้ว ดังนั้นการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 และรอบต่อๆ ไปจึงมีความจำเป็นและควรได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุดและเป็นธรรมต่อทั้งประชาชนและผู้ลงทุนอย่างเร่งด่วนครับ