เหตุเกิดที่โกก้างในพม่า แต่สะเทือนถึงปักกิ่ง

การสู้รบอย่างรุนแรงที่เขต “โกก้าง” (Kokang) ในรัฐฉานทางตะวันเฉียงเหนือของพม่า
พรมแดนติดกับจีนยืดเยื้อมาสองสัปดาห์ เป็นข่าวดังเพราะมีผลกระทบไม่เพียงแต่ระหว่างรัฐบาลกลางพม่า กับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธกลุ่มนี้ หากแต่ยังกระเทือนไปถึงจีน และอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างย่างกุ้งกับปักกิ่งด้วย
ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตสู้รบ 3 เดือน ส่งเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ถล่มฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้านอย่างต่อเนื่อง ทหารรัฐบาลตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ชาวบ้านต้องอพยพข้ามชายแดนเข้าไปในเขตของมณฑลยูนนานของจีนไม่น้อยกว่า 30,000 คน
คนในโกก้างส่วนใหญ่เป็นฮั่น ซึ่งเป็นเชื้อสายหลักของจีน กลายเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัฐบาลกลางพม่า
ถ้าจำได้ รัสเซียส่งทหารเข้าไปยึดไครเมียจากยูเครนเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยการอ้างว่าคนส่วนใหญ่ที่นั่นเป็นคนเชื้อสายรัสเซีย ดังนั้นหากรัฐบาลกลางทำศึกกับไครเมียก็ย่อมกระทบชีวิตและทรัพย์สินของคนเชื้อสายรัสเซีย จึงต้องส่งทหารรัสเซียเข้าไปช่วย ต่อมามีการลงประชามติขอแยกตัวออกจากยูเครนมาอยู่กับรัสเซีย
กรณีโกก้างของพม่า อาจจะไม่ชัดแจ้งถึงขนาดนั้น แต่ก็มีข้อเปรียบเทียบที่น่าสนใจ
ข่าวบอกว่ารัฐบาลจีนให้ส่งน้ำ ข้าวและยารักษาโรค ให้ชาวโกก้างที่หนีการสู้รบจากพม่า และได้เสริมหน่วยรักษาความมั่นคงตรงชายแดน อีกทั้งรัฐบาลปักกิ่งก็ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในความพิพาทนี้ใช้ความอดกลั้น เจรจาหาทางออกร่วมกัน
กลุ่มต่อต้านของโกก้าง ชื่อเป็นทางการว่า Myanmar National Democratic Alliance Army (MNDAA) หรือ กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า
กลุ่มนี้เคยเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลทหารพม่าที่ย่างกุ้ง ในช่วงที่ทหารเป็นใหญ่ และเผด็จการทหารพม่าสมัยนั้น ใช้กลุ่มโกก้างและว้าต่อสู้กับชนกลุ่มน้อยติดอาวุธอื่น ๆ เช่น ไทยใหญ่, คะฉิ่น, กะเหรี่ยง และฉิน โดยยอมให้กลุ่มโกก้างปลูกฝิ่นและค้ายาเสพติดเป็นการแลกเปลี่ยน
แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป รัฐบาลเต็งเส่งได้ชักชวนให้ชนกลุ่มน้อยติดอาวุธต่าง ๆ ลงนามสงบศึกได้สำเร็จในระดับหนึ่ง กลุ่มโกก้างกลับไม่ยอมเลิกปลูกฝิ่นเพราะเป็นแหล่งรายได้หลัก และไม่ยอมปลดอาวุธหรือแปรสภาพมาเป็นหน่วยรักษาความมั่นคงชายแดนคล้าย ๆ กับ ตชด. ของไทย
กลุ่ม MNDAA ซึ่งปกครองเขตโกก้างระหว่างปี ค.ศ.1989 ถึง 2009 ปฏิเสธข้อเสนอของรัฐบาลกลาง จึงเกิดการเผชิญหน้ากับทหารจากส่วนกลาง กองทัพพม่าขับไล่กลุ่มขบถนี้ออกจากบริเวณนั้นในปี 2009
แต่นักรบกลุ่มนี้ไม่ยอมแพ้ ไปรวมตัวกันใหม่ เชื่อกันว่ามีกำลังทหารประมาณ 3,000 คน
และทยอยเคลื่อนทัพกลับมาพร้อมอาวุธทันสมัย โดยมีเป้าหมายกลับมายึดฐานที่มั่นเดิมจากทหารพม่าให้ได้
ข่าวบางกระแสบอกว่า นักรบชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เช่น คะฉิ่น, อารข่านและฉานบางส่วน ก็มาร่วมรบอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายโกก้างเช่นกัน เพราะยังมีความแค้นฝังลึกอยู่ไม่น้อย
แม้รัฐบาลกลางจะมีกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือกว่า แต่สภาพภูมิศาสตร์ตรงชายแดนพม่ากับจีน มีความสลับซับซ้อนไม่น้อย ทำให้แผนการเผด็จศึกของรัฐบาลกลางต่อชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ ไม่อาจจะทำได้ง่ายดั่งใจ
ปัจจัยตัดสินว่าสงครามรอบใหม่ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไหร่ย่อมอยู่ที่ว่านักรบในป่าเขากลุ่มอื่น ๆ เช่น Kachin Independence Army หรือ United Wa State อันหมายถึงคะฉิ่นและว้าจะเข้ามาร่วมรบอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลมากน้อยเพียงใดด้วย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มโกก้างมีความฮึกเหิม ลุกขึ้นมาประหัตประหารกับทหารรัฐบาลที่เหนือกว่าเกือบทุกด้าน ก็เพราะผู้นำที่ชื่อ Phone Kya Shin (โพนคยาชิน) ซึ่งเป็นผู้นำขบถและมีชื่อเสียงด้านค้ายาเสพติดที่ถูกทหารย่างกุ้งกดดันขับไล่หนีภัยเข้าจีนไป
ปลายปีที่แล้ว โพนคยาชินรวมพลใหม่ กลับจากจีนพร้อมกองกำลังติดอาวุธใหม่เพื่อปักหลักสู้รอบใหม่ และยืนยันข้อเรียกร้องที่จะประกาศโกก้างเป็นเขตปกครองตนเองที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลางที่ย่างกุ้ง
เป็นครั้งแรกตั้งแต่เต็งเส่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ผู้นำประเทศให้อำนาจทหารควบคุมสถานการณ์ในเขตใดเขตหนึ่งของประเทศด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อปราบปรามโกก้างให้อยู่มือ
แต่แน่นอนว่าการสู้รบที่โกก้างครั้งนี้ ย่อมทำให้แผนใหญ่ที่เต็งเส่งพยายามลงนามสงบศึกกับชนกลุ่มน้อยติดอาวุธอื่น ๆ เช่น ฉานกับคะฉิ่นมีอันต้องชะงักไปอย่างแน่นอน
อีกทั้งยังทำให้ย่างกุ้งกับปักกิ่งมีเรื่องต้อง “ปรับความเข้าใจ” กันในหลาย ๆ เรื่องทีเดียว







