เศรษฐกิจโลกกับภาวะเงินฝืด

อาการเศรษฐกิจโลกขณะนี้ต้องบอกว่าน่าห่วง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดเป็นการทั่วไป คือ ระดับราคาสินค้าปรับลดลงต่อเนื่อง
ซึ่งถ้าเกิดขึ้นก็จะกระทบเศรษฐกิจโลกมาก เพราะเมื่อราคาสินค้าลดลง การใช้จ่ายและการลงทุนจะชะงัก เพราะผู้ซื้อจะหยุดใช้จ่าย รอให้ราคาสินค้าปรับลดลงอีกเพื่อซื้อของถูก ทำให้ผู้ผลิตยิ่งจะแข่งกันลดราคา ราคาก็ยิ่งจะปรับลดลง จนต่อเนื่องเป็นพลวัตที่แก้ไขยาก ปัจจุบันเราเริ่มเห็นความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเงินฝืดชัดเจนมากขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะ ยุโรป และจีน ทำให้หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และลดค่าเงินของตนเองเพื่อช่วยการส่งออก แต่การแข่งกันลดค่าเงินยิ่งจะทำให้ภาวะเงินฝืดกระจายไปประเทศต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น ผ่านราคาสินค้าส่งออกและนำเข้าที่ลดลง ผลที่ตามมาจึงจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกให้อ่อนแอมากขึ้น และยากที่จะฟื้นตัว นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในระยะข้างหน้าขณะนี้ มีความเป็นไปได้สูงขึ้นเทียบกับสามเดือนก่อน จากแรงกดดันที่มาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในหลายพื้นที่ และการลดลงของราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งทั้งสองปัจจัยกดดันให้ราคาสินค้าและบริการในเศรษฐกิจโลกโน้มลดลง ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศยูโรโซนติดลบ ร้อยละ 0.6 เดือน ม.ค. อัตราเงินเฟ้อประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เข้มแข็งที่สุดในกลุ่มยูโรโซน ก็ติดลบร้อยละ 0.3 เช่นกัน การอ่อนตัวของราคาสินค้าจึงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยจะอัดฉีดเงินผ่านมาตรการคิวอี ในวงเงินมากกว่าล้านล้านยูโร หรือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐช่วงเดือนมี.ค.ปีนี้ถึงกันยายนปีหน้า การประกาศมาตรการมีผลทันทีให้เงินยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงกว่า 19 เปอร์เซ็นต์จากระดับเดือนพ.ค.ที่แล้ว และอ่อนลงร้อยละ 10 เทียบกับสกุลเงินประเทศคู่ค้า ความอ่อนแอของเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนที่มีขณะนี้ ทำให้ตลาดการเงินคาดว่าเงินยูโรจะอ่อนค่ามากขึ้นอีกในอนาคต นักลงทุนจึงลดการถือครองเงินยูโร ย้ายเข้าถือเงินดอลลาร์สหรัฐ ฟรังก์สวิส และเงินโครนของเดนมาร์กแทน ทำให้เงินสามสกุลนี้ได้แข็งค่าขึ้นมาก ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้บางประเภทที่ออกในสกุลเงินเหล่านี้ติดลบจากความต้องการถือครองตราสารหนี้ที่ได้เพิ่มขึ้น
กรณีจีนล่าสุดเดือนม.ค.อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเพียงแค่ร้อยละ 0.8 ต่ำสุดในรอบห้าปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อวัดจากราคาสินค้าขายส่ง หรือราคาผู้ผลิตติดลบร้อยละ 4.3 เดือนม.ค. และราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลงร้อยละ 4.3 ในเดือนธ.ค. ข้อมูลเหล่านี้ชี้ถึงเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอลงและมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเกิดภาวะเงินฝืด กระตุ้นให้ธนาคารกลางจีนต้องประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมโดยลดอัตราสำรองเงินสดของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารกลาง หรือ Reserve Requirement Ratio ลงอีกร้อยละ 0.25 ซึ่งหมายถึงการอัดฉีดเงินเข้าระบบกว่า 700 พันล้านหยวน เช่นกันมาตรการดังกล่าวมีผลให้เงินหยวนอ่อนค่าลง
สำหรับญี่ปุ่น ธนาคารกลางได้ปรับลดเป้าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปีงบประมาณ 2015/2016 ลงเหลือร้อยละ 1 จากเป้าเดิมที่ร้อยละ 1.7 และยอมรับว่าเป้าอัตราเงินเฟ้อทั่วไประดับสองเปอร์เซ็นต์ปีนี้คงจะไม่สามารถบรรลุได้ สำหรับสหรัฐซึ่งเป็นประเทศเดียวที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี และการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ก็ลดลงร้อยละ 0.4 จากราคาน้ำมันที่ลดลง และล่าสุดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของธุรกิจก็ปรับลดลงใกล้เคียงกับระดับที่เคยต่ำมากในปี 2009 ขณะที่อัตราเพิ่มของค่าจ้างแรงงานก็อ่อนแอ ทั้งหมดชี้ว่าความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเงินฝืดในสหรัฐก็เป็นประเด็นที่ต้องติดตามและระมัดระวัง โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับลดลงได้อีกในอนาคต และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้จะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ทำไมภาวะเงินฝืดน่ากลัว ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสอนว่า ภาวะเงินฝืดเมื่อเกิดขึ้นจะแก้ไขยาก เพราะการปรับลดลงของราคาจะฝังอยู่ในการคาดการณ์และพฤติกรรมของครัวเรือนและภาคธุรกิจ นำไปสู่การชะลอการใช้จ่าย เมื่อเศรษฐกิจไม่ใช้จ่าย การผลิตก็ไม่ขยายตัว นำมาสู่การลดคนงาน และการว่างงาน ทำให้อำนาจซื้อในระบบเศรษฐกิจยิ่งจะลดลงมากขึ้น นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบจะทำให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริงปรับสูงขึ้น เพิ่มข้อจำกัดต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ภาระชำระหนี้สูงมากขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ นำไปสู่ปัญหาหนี้เสียและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน โดยเหตุนี้เราจึงเห็นหลายประเทศในยุโรป และเอเชียเริ่มปรับนโยบายเพื่อตั้งรับกับความเสี่ยงเหล่านี้ โดยผ่อนคลายนโยบายการเงิน คือ ลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้ค่าเงินของตนอ่อนค่าลง เพื่อช่วยภาคส่งออก ล่าสุดประมาณสิบห้าประเทศทั่วโลกได้ผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึง สิงคโปร์ อินเดีย เดนมาร์ก เม็กซิโก และออสเตรเลีย มีผลให้ค่าเงินประเทศเหล่านี้ล้วนอ่อนค่าลงเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งหมดนี้จึงชี้ชัดว่า ณ จุดนี้หลายประเทศกำลังแข่งกันอ่อนค่าเงินสกุลของตน ผ่านการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และป้องกันภาวะเงินฝืด ซึ่งลึกๆ แล้ว ก็คือ การเริ่มต้นของสงครามค่าเงินโดยไม่ตั้งใจ เพราะประเทศต่างๆ ต้องการลดดอกเบี้ยในประเทศเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ
การแข่งกันลดค่าเงินไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก เพราะจะไม่มีผู้ชนะมีแต่ผู้แพ้ จากปัญหาหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นตามมา อย่างแรกคือ ความผันผวนในตลาดเงินตราต่างประเทศจะมีมากขึ้น สร้างต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับธุรกิจที่จะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จนอาจลดแรงจูงใจที่จะค้าขายหรือลงทุนข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการลงทุนทางตรง ผลก็คือประเทศจะให้ความสำคัญกับการค้าภายในประเทศมากขึ้นแทน กระทบการค้าระหว่างประเทศและการส่งออก
สอง ผู้ที่แข่งขันไม่ได้ในสงครามเงินตราอาจใช้มาตรการกีดกันด้านการค้าเป็นเครื่องมือต่อสู้แทน เพื่อลดการสูญเสียจากการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น สร้างความเสี่ยงให้การค้าโลกยิ่งเติบโตน้อยลงไปอีก กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และ
สาม เมื่อการไหลเวียนของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมีน้อยลง ประเทศที่มีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง หรือมีภาระหนี้ต่างประเทศมากที่ต้องชำระ ประเทศเหล่านี้ก็จะขาดสภาพคล่องที่จะชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและชำระหนี้ นำไปสู่ความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้ ที่มักเป็นจุดเริ่มต้นหรือชนวนของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นเศรษฐกิจโลกก็ยิ่งจะทรุดตัวมากขึ้น ทำให้ราคาสินค้าจะยิ่งลดลง และปัญหาเงินฝืดยิ่งแก้ไขยาก
ผู้ทำนโยบายประเทศต่างๆ ในเศรษฐกิจโลก ต่างตระหนักดีถึงความเสี่ยงเหล่านี้ และปัญหาต่างๆ มากมายที่จะเกิดขึ้นตามมา ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจโลก ขาดผู้นำแท้จริงที่จะระดมให้ทุกประเทศหันหน้าร่วมมือกันแก้ไขปัญหา เมื่อขาดผู้นำผลก็คือ แต่ละประเทศขณะนี้จึงต่างคนต่างทำ เพื่อประโยชน์ของตนเอง นำมาสู่ความอ่อนไหวของสถานการณ์ปัจจุบันอย่างที่เห็นประเทศไทยเองก็ต้องติดตามและไม่ประมาทกับความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้น เพราะเราเป็นเศรษฐกิจเปิดที่จะถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของเรา เดือนม.ค.ก็ติดลบไปแล้ว คือลดลงร้อยละ 0.4
ดังนั้น ความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะเงินฝืดในเศรษฐกิจเราเอง ก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้เช่นกัน







