ดูแล "ราคาหุ้นเพิ่มทุนพีพี" เสียงสะท้อนรายย่อย

ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า เมื่อปี 2557 มีบริษัทจดทะเบียน ทำการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน
แบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP มูลค่าทั้งสิ้น 265,116,118,026 บาท โดยมีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง นำทีมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท
สำหรับโมเดลการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพีของบริษัทจดทะเบียนหลายๆ แห่ง ส่วนใหญ่จะกำหนดราคาขายต่ำกว่าราคาในกระดานเฉลี่ย 70-90% และจะขายให้กับ “นักลงทุนรายใหญ่” กลุ่มเดิมๆ โดยเมื่อหุ้นเพิ่มทุนเข้าซื้อขายนักลงทุนกลุ่มใหม่มักขายทำกำไรในวันแรกๆ ก่อนหาจังหวะกลับเข้ามาซื้อใหม่อีกครั้ง ออกแนวเล่นเป็นรอบๆ
เหตุผลที่บริษัทจดทะเบียนนิยมเลือกหาเงินลงทุน ด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพี เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก ส่วนใหญ่จะจะแจ้งวัตถุประสงค์ของการขายหุ้นเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นรายเดิมและใหม่ว่า จะนำเงินไปขยายธุรกิจ เช่น การเพิ่มกำลังการผลิต ขยายสาขา ซื้อกิจการ หรือควบรวมกิจการ เป็นต้น รวมถึงนำเงินไปใช้คืนเงินกู้ต่างๆ และล้างขาดทุนสะสม เพื่อให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอนาคต
แม้พฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ดูจะไม่ผิดกติกา แต่ในมุมของนักลงทุนรายย่อยกลับรู้สึกกำลังเสียเปรียบ รายย่อยหลายรายพยายามส่งสัญญาณไปยังทางการ ไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องสิทธิตามหน่วยงานต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.),สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เป็นต้น
ทว่าการที่นักลงทุนรายย่อยดำเนินการเพียงยื่นเอกสารร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ แทนการยื่นฟ้องต่อศาล เป็นเหตุให้เรื่องไม่ค่อยคืบหน้ามากนัก ที่ผ่านมากูรูในตลาดหุ้นพยายามออกมาแนะนำนักลงทุนรายย่อยว่า หากไม่เห็นด้วยกับการกำหนดราคาขายหุ้นเพิ่มทุนที่ต่ำกว่าราคาในกระดาน ผู้ถือหุ้นรายย่อยควรรวมพลังเพื่อไปแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยตนเอง แต่ส่วนใหญ่มักมอบสิทธิ์ให้บุคคลอื่นๆ ไปดำเนินการแทน
เรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของ “อนุรักษ์ บุญแสวง” นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ที่ว่า แม้จะยังไม่มีนักลงทุนรายย่อยมาร้องเรียนเรื่องการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพีต่ำกว่า ตลาด ผ่านทางสมาคมฯ แต่จากการพูดคุยกับนักลงทุน หลายรายแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า หากบริษัทขายหุ้นเพิ่มทุนต่ำกว่าตลาดเฉลี่ย 60-70% รายย่อยยังพอรับข้อเสนอได้
“ในฐานะนายกสมาคมฯอยากเรียกร้องให้ทางการ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ หรือสำนักงาน ก.ล.ต.ออกหลักเกณฑ์เรื่องนี้มาช่วยเหลือนักลงทุนรายย่อยอย่างจริงจัง เพราะการกระทำของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งดูเหมือนเป็นการเอาเปรียบรายย่อย”
อย่างไรก็ดีแม้ผลกระทบจากการขายหุ้นเพิ่มทุนจะมีมากมายหลายข้อ เช่น เมื่อจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมลดลง หรือ Dilution Effect เป็นต้น แต่ “พีรเจต สุวรรณนภาศรี” ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) ในฐานะนักลงทุนวีไอ แสดงความเห็นว่า หากนำเงินเพิ่มทุนไปใช้จนเกิดประสิทธิภาพ หรือนำไปต่อยอดธุรกิจ ผู้ถือหุ้นเดิมย่อมได้รับผลดีมากกว่าผลเสีย
“ข้อดี คือ ราคาหุ้นขยับขึ้น ผลประกอบการขยายตัว และได้รับเงินปันผลมากขึ้น”
สำหรับ “ข้อเสีย” คือ หากบริษัทไม่ได้นำเงินเพิ่มทุนไปก่อประโยชน์สูงสุดตามที่กล่าวอ้าง ก็จะทำให้ตัวเลขกำไรต่อหุ้น หรือ EPS และอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE ไม่สะท้อนตัวเลขที่แท้จริง อย่างไรก็ดีการเพิ่มทุนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ควรกำหนดราคาขายเพิ่มทุนต่ำกว่าราคาในกระดานเกิน 10%
ก่อนหน้านี้ “เกศรา มัญชุศรี” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลท.และสำนักงาน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างหารือร่วมกัน เพื่อหาแนวทางอุดช่องโหว่ ในการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพี ซึ่งทาง ตลท. ไม่สามารถแก้ไขกฎหมายหมายได้ด้วยตัวเอง เพราะมีความเกี่ยวพันกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. โดยทาง ตลท. หวังว่า มาตรการใหม่จะแล้วเสร็จโดยเร็ว
สุดท้าย..ไม่ว่าทางการจะออกมาตรการมาดูแลนักลงทุนรายย่อยหรือไม่ แต่หลักการลงทุนสำคัญที่ “เม่าน้อย” ควรท่องให้ขึ้นใจ ก่อนตัดสินใจควักเงินก้นถุงออกมาซื้อหุ้น คือ “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”




