ว่าด้วยเรื่องรถบริการสาธารณะ

ว่าด้วยเรื่องรถบริการสาธารณะ

ความพยายามยกระดับบริหารรถโดยสารสาธารณะทั้งรถเมล์ จักรยานยนต์รับจ้าง แท็กซี่ ฯลฯ

ยังคงเป็นความพยายามที่ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นความคืบหน้าเท่าที่ควร ท่ามกลางเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เป็นเสมือนเงื่อนไขหรือข้ออ้าง ฉุดรั้งการยกระดับบริการรถสาธารณะเหล่านี้อยู่เป็นระยะ ทั้งที่รถบริการสาธารณะเหล่านี้ คือ วาระแห่งชาติ ด้วยความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการใช้ชีวิตของประชาชนคนไทยรวมทั้งชาวต่างชาติ

โดยเฉพาะรถแท็กซี่ที่มีปัญหาเรื้อรังด้านบริการ ท่ามกลางความคับข้องใจของผู้ใช้บริการ ที่เชื่อว่ามีความรู้สึกไม่แตกต่างกันยิ่งคนกรุงเทพฯ กับแท็กซี่ จัดได้ว่าเป็นคู่แค้นกันเลยทีเดียว กับปัญหาซ้ำซาก แท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร เลือกเส้นทางที่ตนเองอยากไปมากกว่าเส้นทางที่ผู้โดยสารต้องการไป ขับรถอ้อมเส้นทาง จงใจเลือกรับผู้โดยสารที่เป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย ผู้ขับขี่ใช้วาจาหรือมีกิริยาไม่สุภาพ ขับรถประมาท น่ากลัว สำคัญและน่าห่วงที่สุด คือ ปัญหาอาชญากรรมบนรถแท็กซี่

ที่เป็นข่าวครึกโครมและปลุกกระแสสังคมสะเทือนสนามบินสุวรรณภูมิ กรมขนส่งทางบก ตลอดจน ผู้ขับแท็กซี่ และผู้โดยสาร กรณีของชาวญี่ปุ่นผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Koki aki” ซึ่งต่างฝ่ายต่างออกมาให้ข้อมูลต่างๆ ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่อยู่ในมุมของตัวเอง

จนถึงปัจจุบัน การเกิดปัญหาแต่ละครั้งกระตุ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอดส่องได้ชั่วขณะ เมื่อกระแสจาง แม้ปัญหายังไม่ทันได้ทุเลาหรือได้รับการแก้ไขเรื่องราวนั้นๆ จะถูกปล่อยผ่านจางหายไป จะกลับมาสนใจอีกครั้งเมื่อเกิดปัญหาขึ้นใหม่ หรือ ปัญหารุนแรงขึ้นกว่าเก่า

ถึงเวลาหรือยังที่รถบริการสาธารณะทุกประเภทจะถูกยกเครื่อง วางระบบบริหารจัดการเสมือนองค์กรเอกชนที่เปี่ยมประสิทธิภาพ มีการจำแนกแยกแยะประเภทของรถเล็ก-ใหญ่ ประเภทการใช้งาน ความรัดกุมในติดตาม ควบคุม ตรวจสอบ การกำหนดอัตราผลตอบแทนที่สอดคล้องต้นทุน ค่าใช้จ่าย การบริการ บทลงโทษที่ชัดเจนและหลาบจำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำซาก

ขณะที่ความพยายามในการยกระดับบริการยังไม่เห็นภาพชัดเจนและถูกกระทำเสมือนขอไปที แต่ความพยายามในการปรับขึ้นราคาค่าบริการกลับมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีเหตุปัจจัยที่พอจะเชื่อมโยงได้ว่าต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้นจะได้ยินเสียงและเห็นภาพประกาศขอขึ้นราคาแบบทันควัน ล่าสุด กรณีแท็กซี่แวนสุวรรณภูมิยื่นข้อเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณา ขอปรับค่าธรรมเนียมการใช้บริการแท็กซี่ขนาดใหญ่ 5 ประตู หรือแท็กซี่แวนภายในสนามบิน จากเที่ยวละ 50 บาท เป็น 100 บาท ขอจัดเก็บค่าสัมภาระจากผู้โดยสารที่สัมภาระมาจำนวนมาก โดยใบแรกจะไม่คิดค่าขนส่ง ใบที่ 2-4 คิดค่าใบละ 30 บาท หากเป็นใบ 5-6 จะเรียกเก็บเพิ่มขึ้นอีก

นอกจากนี้ ขอให้นำระบบคิดค่าโดยสารแบบเหมาจ่ายกลับมาใช้ ในกรณีที่ใช้บริการนอกเขตมิเตอร์หรือนอกเขตกรุงเทพฯ เนื่องจากอัตราค่าโดยสารมิเตอร์แท็กซี่ที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ต่ำเกินไป และไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ข้อเสนอมาพร้อมแนวทางล่วงหน้าว่าหากกระทรวงคมนาคมไม่อนุมัติตามข้อเสนอ แท็กซี่ขนาดใหญ่สุวรรณภูมิจะทยอยหยุดวิ่ง เพราะแบกภาระขาดทุนต่อไปไม่ไหว

ความวัวยังไม่ทันหาย เสียงแว่วอีกว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันนี้ (30 ม.ค.) นอกจากจะมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปแล้ว จะพิจารณาปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ อาทิ รถแท็กซี่ รถสองแถว และรถตุ๊กๆ ด้วย จากปัจจุบันได้รับการช่วยเหลือให้จำหน่ายในราคาต่ำ 9.50 บาทต่อกิโลกรัม

กล่าวคือ มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ระบบเดิมในการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีทั้งกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ด้วยการทยอยปรับขึ้นครั้งละ 1 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้ราคาเอ็นจีวีทั่วไปขยับขึ้นจาก 12.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะขยับจาก 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.50 บาทต่อกิโลกรัม และปรับขึ้นสะท้อนต้นทุนสูงสุดไม่เกิน 16 บาทต่อกิโลกรัม

หากมีการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีกลุ่มแท็กซี่จริง หนีไม่พ้นแท็กซี่ขอขึ้นราคาอีกระลอก