โอกาสทางธุรกิจที่ 3 จังหวัดอันดามัน

ผู้เขียนเพิ่งเดินทางกลับมาจากการเยือนภูเก็ต พังงา กระบี่ เพื่อศึกษาตามโครงการพัฒนาพื้นฐานการสร้างมูลค่าเพิ่ม
: พัฒนาฐานข้อมูลการส่งเสริมการลงทุนธุรกิจที่สนับสนุนการท่องเที่ยว ที่กองประสานการลงทุน ฝ่ายลงทุนธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ศึกษาภาพที่เห็นก็คือ ชาวต่างชาติโดยเฉพาะจากชาติตะวันตกยังเดินยั้วเยี้ยในหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต และอ่าวนาง จ.กระบี่ นักท่องเที่ยวจีนเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เกินหน้านักท่องเที่ยวตะวันตก เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านผู้อำนวยการ ททท. ในพื้นที่พังงา และกระบี่ก็พบว่า โรงแรม 4 - 5 ดาว ยังมีอัตราเข้าพักดีอยู่มาก แต่โรงแรมที่ราคามัธยัสถ์ไม่ดีเท่าปีที่แล้ว และมีแนวโน้มที่สำคัญๆ คือ
หนึ่ง กระบี่พุ่งขึ้นแรงแซงเชียงใหม่ไปแล้วเป็นลำดับ 4 ของประเทศด้านการท่องเที่ยว สอง นักท่องเที่ยวลดวันพักในแต่ละพื้นที่ และขยับไปในที่ใหม่ๆ มากขึ้น เช่น เคยอยู่เขาหลักเป็นอาทิตย์ๆ ก็ลดลงแบ่งไปกระบี่ และล่าสุดเริ่มไปลงขนอม จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น สาม เทคโนโลยีสมาร์ทโฟน และการขายห้องพักของโรงแรมผ่านเว็บไซต์ที่มีการดั๊มราคาลงมาเมื่อใกล้วันเดินทางทำให้การจองที่พักที่เคยจองกันล่วงหน้า 6 เดือนก็ลดลงเหลือ 30 วัน โรงแรมที่ไปพักที่หาดป่าตองเต็มไปด้วยฝรั่งก้มหน้า กดสมาร์ทโฟนกันทั้งวัน นั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำก็กดสมาร์ทโฟน รัฐบาลไทยจะโปรโมทดิจิทัลอีโคโนมีอย่างไรก็ยังไม่ชัดเจน แต่นักท่องเที่ยวเข้าสู่ยุคดิจิทัลไปก่อนแล้ว โรงแรมร้านอาหารเราก็เริ่มเสนอเมนูในแท็บเล็ตและให้ลูกค้าเลือกกดเมนูที่ชอบ
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าการลงทุนในธุรกิจโรงแรมจะเริ่มมีอุปสรรคเพราะราคาที่ดินริมหาดแพงขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ในเมืองหรือพื้นที่เชื่อมโยงกับชายหาด แต่ก็ยังพอมีที่ดินที่กระบี่พังงา รวมทั้งภูเก็ตที่อยู่ริมเขา หรือบนเกาะ เช่น เกาะคอเขาที่อยู่ใกล้ตะกั่วป่า ซึ่งน่าจะลงทุนทำธุรกิจโรงแรมเล็กๆ ได้อยู่ แต่อาจจะต้องออกแบบให้แหวกแนวเป็นโรงแรมที่จำลองหมู่บ้านในชนบทคือ มีกระท่อมพักท่ามกลางนาหรือสวนผลไม้ มีหรือเป็นโรงแรมสำหรับ Week-end farmers เผื่อชาวสิงคโปร์หรือฝรั่งที่เป็นทูตอยู่ในภูมิภาคนี้ที่เท้าไม่เคยเหยียบดินจะคิดมาลองปลูกผักปลอดสารพิษทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนร้านอาหารก็น่าจะทำแบบที่คนจีนชอบมากๆ คือ มีกระชังอยู่ข้างภัตตาคารที่สามารถเลือกวัตถุดิบมาปรุงได้สดๆ
เรามักจะคิดถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้แก่ โรงแรมและร้านอาหาร แต่ความจริงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีขอบเขตกว้างกว่านั้นมาก เช่น ยังประกอบไปด้วยธุรกิจบันเทิงซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นบาร์เบียร์และอาบอบนวดเท่านั้น อาจจะมี Art gallery พิพิธภัณฑ์กลางคืนประเภท Ripley’s พิพิธภัณฑ์มายากลที่ผู้ชมมีส่วนร่วม สถานลีลาศแบบคลาสสิคที่ใช้วงดนตรีประเภท Chamber music หรือร้านกาแฟกลางแจ้งที่มีกีตาร์คลาสสิคหรือไวโอลินเพราะๆ เศรษฐีที่มีที่ดินในเมืองน่าจะเอาที่ดินมาทำสวนดอกไม้หรือร้านกาแฟในสวนเพื่อให้ถ่ายรูปและสร้างบรรยากาศที่ดีให้แก่เมือง นอกจากนั้น ยังอาจมีการลงทุนด้านสนามกีฬาเช่น เทนนิส สควอช กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้ชีวิตราตรีของไทยดูไฉไลแบบอารยะมากขึ้น ไม่ต้องอาศัย S ตัวที่สี่ตามหลัง Sun Sand Sea อยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวในจังหวัดเหล่านี้ยังต้องการสวนสนุกสำหรับครอบครัวและคู่รัก สวนสนุกเหล่านี้รวมทั้งสถานบันเทิงที่กล่าวมาแล้ว ต้องทำให้เหมาะสมกับลักษณะของเมือง สวนสนุกอาจจะไม่ต้องลงทุนมากนักเช่น สวนสนุกที่จำลองงานวัดของไทย มียิงปืน ปาเป้า ชกมวยน้ำ มีขายอาหารเช่น โรตีสายไหม ขนมครก ฝรั่งเที่ยวได้ ไทยเที่ยวดี เสียค่าตั๋วเข้าแล้ว ยังต้องไปเสียค่าเกมส์ข้างใน หรือสวนสนุกประเภทป่ามรกตสำหรับพังงาและกระบี่
กิจกรรมที่น่าลงทุนในจังหวัดเหล่านี้ในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องก็มีอีกมาก เช่น บริการให้เช่ารถหรู บริการแพห้องเย็นและดิลิเวอรี่อาหารทะเล ซึ่งขณะนี้ทั้งพังงาและกระบี่ต้องไปซื้อที่ภูเก็ต การผลิตผักปลอดสารพิษ และสวนผลิตดอกไม้สดซึ่งโรงแรมใน 3 จังหวัดนี้ต้องการมาก รวมทั้งสถาบันสอนภาษา สถาบันฝึกบุคลากรด้านสปา และHospitality เบื้องต้น ซึ่งขาดแคลนมากทั้งเทราปิสต์สปา เชฟ พนักงานผสมเครื่องดื่ม ฯลฯ
แต่ที่ต้องการมากที่สุดจากการหารือร่วมกับผู้ประกอบการก็คือ การพัฒนาและกำกับของรัฐที่ได้มาตรฐานสากล ผู้ประกอบการจะซื้อ Speed boat เพิ่มไปทำไม ในเมื่อท่าเรือยังอีเหละเขละขละอย่างที่เป็นอยู่ หากรัฐบาลคิดจะหาเงินจากการท่องเที่ยว 2.2 ล้านบาท แต่ไม่ใส่งบประมาณใน Infrastructure ให้เหมาะสม ปล่อยให้ภาคเอกชนอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ ท่าเรือโทรมๆ ห้องน้ำสกปรก แล้วอย่างนี้จะให้ไปหารายได้ต่อหัวสูงๆ ได้อย่างไร นอกจากจะไม่ใส่งบประมาณให้พอแล้ว การบังคับใช้กฎหมายก็หย่อนยาน ปล่อยให้ผับ บาร์ เปิดเพลงเสียงดังทุกเมืองท่องเที่ยวหลัก ปล่อยน้ำเสียลงทะเลและปล่อยขยะให้ลอยไปกับคลื่นเหล่านี้ล้วนเป็นการทำให้แหล่งท่องเที่ยวของเราไม่ได้มาตรฐาน
การที่เราปล่อยให้นักท่องเที่ยวมาปลดปล่อย มาทำอะไรก็ได้ ในที่สุดเราจะได้แต่ Ugly tourists ถ้าเราขยายอุตสาหกรรมมารองรับเงินนักท่องเที่ยวโดยไม่ลงทุนในการขยาย Carrying capacity ของสาธารณูปโภค เราจะลงท้ายด้วยความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะคนรวยเขาก็หนีไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้ มีแต่คนจนต้องจมปลักอยู่ในสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม นักท่องเที่ยว จีน แขก และฝรั่งก็จะย้ายไปเที่ยวเมียนมาร์ทิ้งแหล่งท่องเที่ยวโทรมๆ ไว้ให้คนไทยเที่ยวกันเอง
การท่องเที่ยวในยุคต่อไปต้องเป็นการยกระดับเมือง ตัวอย่างที่เห็นจะจะก็คือ บุรีรัมย์ที่เปลี่ยนโฉมจากเมืองยากจนที่ใครก็ไม่อยากมา ให้กลายเป็นเมืองกีฬาที่ทำให้ใครหลายคนอยากมาเยือน
ประเทศไทยคงหนีไม่พ้นที่จะทำมาหากินกับการท่องเที่ยว นักการเมืองในแต่ละจังหวัดจึงควรจะแข่งกันสร้างเมืองน่าเที่ยวโดยร่วมกับผู้นำท้องถิ่นและชุมชนท้องถิ่นในการกำหนดวิสัยทัศน์ของเมืองในอนาคต เพื่อให้เรามีเมืองน่าอยู่และเป็นเมืองน่าเที่ยวทำให้การท่องเที่ยวสร้างผลประโยชน์ให้กับคนท้องถิ่นมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน




