บุฟเฟ่ต์

เราทุกคนสามารถรับประทานบุฟเฟ่ต์ให้คุ้มในแบบของเราได้ ถ้าเรารู้จักคำว่า ความพอดี
ใครบ้างคะที่เป็นแฟนคลับอาหารบุฟเฟ่ต์ ไม่ต้องเขินอายนะคะเพราะปัจจุบันร้านบุฟเฟ่ต์ผุดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้าก็ว่าได้ แล้วคุณเคยแปลกใจไหมคะว่าความนิยมของร้านอาหารบุฟเฟ่ต์มาจากอะไรกัน? จากที่ดิฉันไปพูดคุยกับคนรอบข้างที่เป็นแฟนคลับอาหารบุฟเฟ่ต์ดูแล้ว ทุกท่านจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า จุดขายอันสำคัญนอกจากความหลากหลายของอาหารแล้ว บุฟเฟ่ต์คือคำนิยามของ “ความคุ้ม” และคำถามของดิฉันวันนี้คือ คุ้มจริงหรือ?
ก่อนอื่นเราลองมาพิจารณากันนะคะว่าตอนที่เราทานบุฟเฟ่ต์นี่ เรามีความสุขกันตอนไหนที่สุด เพื่อที่เราจะได้มาดูว่ามันคุ้มหรือไม่ หลายๆ ท่านมักจะบอกว่า ความสุขของการทานบุฟเฟ่ต์จะถึงจุดสูงสุดประมาณจานที่หนึ่งหรือสอง แต่ก็ยังสั่งอาหารมาเพิ่มหลังจากนั้น ด้วยเหตุผลหลากหลายกันไป ไม่ว่าจะเป็นการที่ยังมีอย่างอื่นที่เราไม่ได้สั่ง หรือถ้าเป็นบุฟเฟ่ต์ที่มีเวลาจำกัดด้วย การที่จะลุกออกจากร้านก่อนเวลาจะหมดนั้นทำให้รู้สึกว่าขาดทุน เลยต้องนั่งทานต่อไปเพื่อความคุ้ม หรือการที่เราเห็นว่าโต๊ะเรายังทานกันไม่เท่าโต๊ะข้างๆ เลยจนรู้สึกถึงการแข่งขันขึ้นมา ทั้งหมดนี้คือจิตวิทยาของบุฟเฟ่ต์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าการทานบุฟเฟ่ต์นั้นคุ้มจริงๆ
หลักการใช้ชีวิตของคนหลายคนอาจเหมือนการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ คือขอแค่คุ้ม ขอให้ได้ใช้สิทธิ์ ที่เหลือค่อยว่ากัน
อันที่จริงแล้วดิฉันมองว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้สามารถใช้สิทธิ์ที่พึงมีพึงได้ต่างกันไปตามมุมมอง เราอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่เราต้องใช้สิทธิ์ที่พึงมีพึงได้ แม้ว่าสิทธิ์นั้นจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเราก็ตาม ซึ่งความคิดเช่นนี้อาจเปรียบได้เหมือนกับการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์จนเกินพอดี เรียกได้ว่ารับประทานกันจนต้องปลดเข็มขัด เอาเสื้อที่เคยใส่ไว้ในกางเกงออกมากข้างนอก หรือต้องพักยกเพื่อไปเข้าห้องน้ำเพื่อเพิ่มพื้นกระเพาะในการบรรจุอาหารกันเลย การทำเช่นนี้เราอาจต้องย้อนมาถามตัวเองว่าเป็นการรับประทานอาหารที่คุ้มจริงๆ หรือไม่ คุ้มไหมที่กลับบ้านมาปวดท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย น้ำหนักเพิ่มเกินขนาด ถ้าความคุ้มเป็นเพียงมูลค่าของอาหารที่เข้าไปในกระเพาะ คุณอาจคิดว่ามื้อนั้นคุ้มสำหรับค่าอาหารที่จ่ายไป แต่สำหรับดิฉัน ถือว่าไม่คุ้ม เพราะเป็นการทานเพื่อทำร้ายร่างกายตัวเอง
หลักการทานบุฟเฟ่ต์แบบนี้ก็เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตของบางคนที่ต้องใช้สิทธิ์ทุกเม็ดจนทำให้ชีวิตทุกข์ ยกตัวอย่างเช่น การที่เรามีสิทธิ์ในการลาพักร้อน และเราอาจเลือกที่จะใช้วันลาทุกวันที่มีอยู่เพื่อให้คุ้มสิทธ์ แต่เรากลับลืมนึกว่า เมื่อกลับมาทำงาน งานอาจถูกสะสมจนต้องทำงานหนักขึ้นเป็นทวีคูณ เพิ่มความเครียดให้ชีวิต จนบางครั้งต้องกลับมาสะสางงานที่สะสมจนต้องป่วยไข้กันไปเลยก็ได้ ถ้าเราใช้สิทธิ์ที่เราพึงมีพึงได้แล้วก่อให้เกิดความเสียหายตามมานั้น ดิฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่คุ้มเลย ในทางตรงกันข้าม ดิฉันคิดว่านี่คือการขาดทุนเสียด้วยซ้ำ
ที่แย่ไปกว่านั้นแฟนคลับบุฟเฟ่ต์บางคนขอแค่ได้ตักมาไว้ในจาน จะทานหมดหรือไม่ ค่อยว่ากัน ถึงแม้ว่าการเอาอาหารมาครอบครองนั้นจะดูเหมือนคุ้ม แต่เราลองมามองย้อนไปดูกันนะคะว่ามีประชากรโลกอีกกี่คนที่ไม่มีอาหารรับประทานกัน เหมือนกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่บางคนขอจองสิทธิ์ของตัวเองถึงไม่ได้ต้องการใช้สิทธิ์นั้นอย่างจริงจังอะไร ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยที่หลายๆ คนยังเข้าไปยืมหนังสือในห้องสมุดกันอยู่ หนังสือบางเล่มราคาแพงเกินกว่านักศึกษาทุกคนจะหาซื้อมาเป็นเจ้าของ มหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งจึงได้มีไว้ให้ยืมกันอ่าน นักศึกษาบางคนก็สักแต่ว่าต้องการใช้สิทธ์ในการยืม แต่ไม่เคยได้อ่านหนังสือนั้นเลย เพื่อนๆ คนอื่นที่อยากอ่านก็ต้องรอจนกว่าหนังสือนั้นจะถูกนำมาคืน เราจะเห็นได้ว่ามันไม่ผิดที่คุณกั๊กหนังสือเล่มหนึ่งไว้เพราะคุณมี “สิทธิ์” และคุณอาจคิดว่านี่เป็นการคุ้มที่ได้ยืมหนังสือ แต่การใช้สิทธิ์ของคุณไม่ได้ทำให้ทั้งคุณและคนอื่นที่รอหนังสือเล่มนั้นอยู่คุ้มจริงๆ เพราะเสียทั้งสองฝ่าย ดังนั้น การใช้สิทธิ์ไม่ได้หมายถึงความคุ้มเสมอไป
ถ้าเราลองมาพิจารณาอีกมุมว่าการใช้สิทธิ์นั้นควรใช้อย่างพอดีเท่าที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องใช้ให้เต็มที่ในทุกเรื่อง อาจนำพามาสู่การใช้ชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืน เพราะการใช้สิทธิ์ที่เต็มที่ไม่ได้เป็นตัวการันตีความคุ้มของชีวิตเสมอไป
ดิฉันว่าเราทุกคนสามารถรับประทานบุฟเฟ่ต์ให้คุ้มในแบบของเราได้ ถ้าเรารู้จักคำว่า “ความพอดี” เราเองก็สามารถใช้ชีวิตให้คุ้มได้ ถ้าเรารู้จักคำว่า “ความพอเพียง” นะคะ




