กรีซเสี่ยงวิกฤติซ้อน ซ้ำเติมโลกปี 2015

กรีซเป็นประเทศหนึ่งที่มีระบบเศรษฐกิจเปิด แต่ในปี 2551 ได้ประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก จนปะทุขึ้น
เป็นวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2552 ซึ่งสืบเนื่องมาจากการขาดวินัยทางการเงิน ของผู้บริหารประเทศในการกำหนดนโยบาย และทิศทางการบริหารเงินคงคลังภายใน ผสมกับภาวะถดถอยทางการเงินของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้งบประมาณภาครัฐขาดดุลสูงถึง 14.5% และยังมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 113% ของจีดีพี ทั้งนี้ยังไม่นับรวมรายจ่ายต่อปีจำนวนมากที่อยู่นอกงบประมาณอีก ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจเกิดการบิดเบี้ยวทางโครงสร้างทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยยังกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกด้วย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังกลุ่มสหภาพยุโรป และเศรษฐกิจโลกในอีกวาระหนึ่ง
ในอดีตที่ผ่านมา การบริหารงานเศรษฐกิจของรัฐบาลกรีซ ไม่ได้ใส่ใจต่อวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะมาจากการขาดวินัยทางการเงินของผู้บริหารประเทศ และการก่อหนี้สาธารณะสูงจนเกินไปตามรูปแบบประชานิยมนั่นเอง จนทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ต้องเข้าให้การช่วยเหลือทางการเงินเป็นการเร่งด่วน เพื่อที่จะกอบกู้ประเทศให้พ้นจากภาวะล้มละลาย แต่ตลอดช่วง 6-7 ปีมานี้ กรีซความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจทำให้การปฏิรูปการคลังของกรีซชะงักงัน ทั้งที่การปฏิรูปดังกล่าวถูกตั้งไวเป็นเงื่อนไขในข้อตกลงรับเงินช่วยเหลือจากภายนอก
ล่าสุดรัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร เห็นชอบตามคำร้องของกรีซให้ขยายเวลาข้อตกลงช่วยเหลือทางการเงินออกไปเพียง 2 เดือนจากเดิม 6 เดือน เพราะโครงการนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของชาวกรีซ ประกอบกับ การตัดสินร่นเวลาเลือกตั้งประธานาธิบดี มีขึ้นหลังจากเกิดเหตุประท้วงรุนแรงในกรุงเอเธนส์ และการลงคะแนนเสียงงบประมาณในสภา อันทำให้หลายฝ่ายนึกถึงฝันร้ายในวิกฤติหนี้ ขณะที่ในที่สุดสภาได้ผ่านงบประมาณปีหน้า หลังจากการหารือเกี่ยวกับการเติบโตและการขาดดุลกับคณะกรรมาธิการยุโรป ธนาคารกลางยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยต้องมีการเห็นพ้องข้อตกลงงบประมาณเสียก่อน กรีซจึงจะได้รับเงินช่วยเหลือก้อนสุดท้าย 1,800 ล้านยูโรจากวงเงินทั้งหมดราว 240,000 ล้านยูโรนับตั้งแต่ปี 2553
ทั้งนี้กรีซประกาศว่าจะเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกในวันที่ 17 ธ.ค. จากที่จะมีขึ้นในเดือนก.พ. จากนั้นก็จะจัดการเลือกตั้งรอบ 2 วันที่ 22 ธ.ค. และรอบ 3 ในวันที่ 27 ธ.ค. โดยนายกรัฐมนตรีแอนโทนิส ซามารัส ต้องการให้ขจัดความไม่แน่นอนทางการเมืองในทันที จึงขอให้ประธานสภาจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยเร็วที่สุด ซึ่งการเลือกตั้งถูกมองว่าเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับนายซามารัส ที่มีเสียงข้างมากเกินอยู่เฉียดฉิว และไม่มีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง นายซามารัส จะต้องจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด และก่อนที่ประชาชนจะหันไปชื่นชอบคู่แข่งทางการเมือง โดยที่ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นได้กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
กรีซเป็นหนึ่งในประเทศยูโรโซน ที่ประสบกับความล้มเหลวในระบบการเงิน ได้สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและในวงกว้าง จนประชาชนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงแม้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจของกรีซจะผ่านพ้นมาเกือบ 7 ปี โดยมีเศรษฐกิจที่ถดถอยและตกต่ำติดอย่างต่อเนื่องหลายปี ขณะที่คนว่างานสูงถึง 26% แต่การบริหารประเทศกลับยังไม่ฟื้นคืนมาได้ ล่าสุดอัตราความเสี่ยงของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 ปียังพุ่งขึ้นอีกเป็น 12%อีกระลอก หลังจากที่เคยลดลงอยู่ในระดับ 7-8% จะกลายเป็นบทเรียนซ้ำเติมที่กระทบต่อกลุ่มประเทศยูโรโซนต่อเนื่องไปอีก ทำให้ต้องมองย้อนกลับไปที่บทเรียนประวัติศาสตร์ในประเทศหนึ่งว่า จะก้าวข้ามความหายนะทางเศรษฐกิจ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งและจากสถานภาพของกรีซในวันนี้โอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้ 60%กลับมาหลอกหลอนอีกครั้งหนึ่ง







