สีเสื้อกับความเชื่อในโลกลูกหนัง

มนุษย์กับความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กันมานานนับพันปี และถึงแม้เทคโนโลยีจะก้าวไกลไปมากแค่ไหน
แต่มนุษย์ก็ยังคงมีความเชื่อที่ดูไร้เหตุผลหรือในสิ่งที่ยากจะพิสูจน์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ได้จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า ใน (เกือบ) ทุกๆ ย่างก้าวของชีวิต ใน (เกือบ) ทุกๆ อิริยาบถของกิจวัตรประจำวันในหลายๆ กาละและเทศะของกิจกรรมมนุษย์เรา และในทุกๆ วัฒนธรรมจึงจะมักจะมีกลิ่นอายหรืออิทธิพลของความเชื่ออยู่ไม่น้อย
เช่นเดียวกับในวงการกีฬาฟุตบอล ด้วยเหตุว่า ชัยชนะเป็นสิ่งที่หอมหวนและพึงปรารถนาของทุกๆ ทีม และด้วยเหตุว่าฝีเท้าและความสามารถที่เหนือกว่าไม่ได้เป็นหลักประกันความมีชัยที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป แต่ต้องอาศัยดวงและโชคให้ช่วยบ้าง ดังนั้น มนุษย์เราจึงเพียงพยายามในแต่ละหนทางที่เพื่อเป็นหลักประกันว่า อย่างน้อยที่สุดจะไม่พ่ายแพ้ และอย่างมากที่สุดคือชัยชนะหนึ่งในนั้นก็คือการถือเคล็ดถือโชคในเรื่องสีเสื้อ
บราซิลเป็นทีมแรกๆ ในโลกลูกหนังที่ถือเคล็ดมีความเชื่อในเรื่องดวงของสีเสื้ออย่างชัดเจน การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1950 นั้น บราซิลมุ่งหวังและมั่นใจอย่างสุดๆ ว่าจะคว้าแชมป์โลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์แบบแบเบอร์แต่สุดท้ายบราซิลก็ผิดพลาดแล้วผิดหวังไปทั้งประเทศ กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับสีเสื้อของทีมชาติบราซิล
ผลแห่งความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ทำให้เสื้อสีขาวที่ทีมชาติบราซิลสวมใส่กลายเป็นสีแห่งโชคร้าย เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บราซิลได้เปลี่ยนสีเสื้อมาเป็นสีเหลืองที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของบราซิลจนถึงปัจจุบันนี้ กลายเป็นเสื้อสีเหลืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกลูกหนังก็ว่าได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงแม้ว่า บราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกในปี 1958 ในชุดเสื้อน้ำเงิน (เนื่องจากสวีเดนคู่ชิงได้สิทธิใส่เสื้อสีเหลืองในฐานะเจ้าภาพ) แต่ทีมแซมบ้าก็ยังยึดมั่นถือดวงกับเสื้อสีเหลืองไม่เปลี่ยนแปลง สามารถคว้าแชมป์โลกในชุดสีเหลืองแซมบ้าได้เป็นครั้งแรกในปี 1962 และในปี 1970 ถือเป็นครั้งแรกที่โลกได้เห็นชุดสีเหลืองของบราซิลคว้าแชมป์โลก (สมัยที่ 3) อร่ามเป็นครั้งแรกทางจอทีวีสี
ในประเทศอังกฤษเอง มีคนกว่า 15 ล้านคนที่มีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติและถือเคล็ดถือดวง โทนสีขาวถูกเลือกให้เป็นสีแรกของทีมชาติสิงโตคำรามเมื่อปี 1872 และใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ในช่วงระยะเวลา 142 ปีนี้ สีเหลืองถูกเลือกมาใช้น้อยที่สุดเพียงแค่ 3 แมทช์ (ในช่วงปี 1973) ก็ถูกยกเลิกและไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย เพราะถือว่าไม่ใช่สีเสื้อนำโชคเนื่องจากอังกฤษไม่เคยชนะในชุดเสื้อสีเหลืองเลย
ในทางกลับกัน การสวมใส่เสื้อสีแดงและเอาชนะเยอรมันตะวันตกจนคว้าแชมป์โลกสมัยแรก (ในปี 1966) ทำให้คนอังกฤษเชื่อว่า สีแดงคือสีนำโชค (นอกเหนือจากสถิติที่บ่งบอกว่าสโมสรที่สวมใส่เสื้อสีแดงประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศ) และมักจะเลือกใส่สีแดงในเกือบทุกครั้งที่เจอกับทีมชาติอินทรีย์เหล็กเพื่อเป็นการฤกษ์เอาชัย แต่โชคไม่ได้เข้าข้างอังกฤษตามที่วาดหวังถือเป็นเคล็ดอีกเลยเพราะสถิติบ่งบอกเช่นนั้น สีแดงของอังกฤษไม่สามารถข่มขวัญทีมเยอรมันได้เลย อังกฤษพ่ายแพ้แก่ทีมเยอรมันตะวันตกในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่เม็กซิโกในปี 1970, แพ้ในศึกฟุตบอลยูโร 1972, เสมอในฟุตบอลโลก 1982, ชนะเพียงครั้งเดียวในศึกยูโร 2000 (แต่ทั้งอังกฤษและเยอรมันก็ตกรอบแรกด้วยกันทั้งคู่),แพ้คาบ้านในสนามเวมบลีย์ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2002 และล่าสุด แพ้อย่างย่อยยับในศึกครั้งสุดในฟุตบอลโลก 2010 จนคนอังกฤษถึงคราวต้องยอมรับว่า เสื้อสีแดงหมดความขลังไม่สามารถข่มขวัญหรือนำโชคมาให้ทีมอังกฤษได้อีกเลย และเชื่อว่า ทีมอังกฤษคงจะเลิกล้มถือเคล็ดโชคสีแดงหากต้องเจอกับทีมเยอรมันในอนาคตก็เป็นได้
อาร์เจนตินาในชุดฟ้าขาวคือสีเสื้อที่คุ้นตาแฟนลูกหนังทั่วโลกมากที่สุด คว้าแชมป์โลก 2 สมัยในปี 1978 และ 1986 แต่ดูเหมือนว่า ลิโอเนลเมสซี่ จะมีดวงกับสีเสื้อสีน้ำเงิน (ชุดทีมเยือน) มากกว่าสถิติการยิงประตูแรกในนามทีมชาติ สถิติการยิงประตูแรกในศึกฟุตบอลโลก สถิติการโหม่งทำประตูแรก การทำแฮกทริกแรก และได้รับปลอกแขนให้เป็นกัปตันทีมครั้งแรกล้วนเกิดขึ้นในแมทช์ที่เมสซี่ใส่เสื้อสีน้ำเงินเข้ม (ไม่ใช่ชุดเก่งสีฟ้าขาว) แต่ในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่า สีน้ำเงินเข้มนี้อาจจะถูกชะตากับเมสซี่ แต่ไม่ใช่สีถูกโฉลกกับทีมชาติอาร์เจนตินาอย่างแน่นอน (เมื่อเทียบกับสีฟ้าขาว) เพราะในวันที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน อาร์เจนตินาพ่ายแพ้ตกรอบควอเตอร์ไฟนัลให้ทีมเยอรมันในปี 2006 แพ้ต่ออุรุกวัยตกรอบแรกในศึกโคป้าอเมริกาปี 2011 และล่าสุด พ่ายแพ้ให้กับทีมเยอรมนีในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014
หลายๆ ทีมชาติมีเหตุผลและความเชื่อที่แตกต่างกันที่จะเลือกสีเสื้อประจำโดยไม่จำเป็นต้องเหมือนตรงหรือปรากฏในธงชาติ โดยเฉพาะทีมยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น ในส่วนของทีมอิตาลีนั้น ถือว่าเป็นทีมหนึ่งที่ยึดมั่นและผูกติดกับสีน้ำเงินมาตลอดกว่า 7 ทศวรรษโดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะถือว่าเป็นสีที่ถูกโฉลกที่สุดแล้วที่ทำให้คว้าแชมป์โลกถึง 4 สมัย
ในขณะที่เนเธอร์แลนด์หรือทีม Oranje เลือกใช้สีส้มเป็นสีประจำทีมมาโดยตลอดร่วมศตวรรษ (ยกเว้นเฉพาะในช่วงปี 1934 ที่ใช้สีน้ำเงิน) เป็นทีมเก่งระดับโลกที่ทำได้เพียงแค่ตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลยุโรปสมัยเดียวแต่สถิติบ่งบอกว่า ในสองทัวร์นาเมนท์ที่เนเธอร์แลนด์เลือกใช้สีดำเป็นชุดทีมเยือน ทีมจะล้มเหลวอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือตกรอบคัดเลือกในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 (ทั้งๆ ที่มีนักเตะระดับโลกท่วมทีม) และล้มเหลวที่สุดในศึกยูโร 2012 ด้วยผลงานแพ้ 3 นัดรวดตกรอบแรกพลิกความคาดหมายตอกย้ำว่า สีดำเป็นสีอับโชคสำหรับชาวดัตช์และยากที่จะเห็นทีมกังหันสีส้มเลือกใช้สีดำอีกครั้งในอนาคต
ญี่ปุ่นเป็นอีกชาติหนึ่งที่เลือกสีเสื้อด้วยเหตุผลของความเชื่อและดวงเป็นหลัก ทีมชาติญี่ปุ่นประเดิมลงสนามในแมทช์แรกแห่งประวัติศาสตร์ลูกหนังของญี่ปุ่นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคปี 1938 ด้วยการใส่เสื้อสีน้ำเงินและสามารถเอาชนะสวีเดนได้ หลังจากนั้นสีน้ำเงินจึงถูกเลือกให้เป็นสีโฉลกประจำทีมSamurai Blue มาโดยตลอด
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างปี 1988-1991 ทีมชาติญี่ปุ่นทดลองฝืนดวงโดยเลือกใส่เสื้อสีแดงกางเกงขาว (ตามสีธงชาติ) ปรากฏว่า ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ทั้งในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกและกีฬาโอลิมปิคจนส่งผลทำให้สีแดงหายสาบสูญแทบจะไม่เคยโผล่มาให้เห็นอีกเลย และคนญี่ปุ่นก็ประจักษ์ดีว่าสีน้ำเงินคือสีแห่งโชคที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นทีมเอเชียที่มีประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบทศวรรษ
เพราะแต่ละทีมล้วนวาดหวังที่จะให้โชคอำนวย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆ ทีมจะพกพาความเชื่อและถือเคล็ดต่างๆ นานา รวมทั้งมาเลเซียคู่ชิงของทีมชาติไทยในศึก AFF Suzuki Cup2014 ล่าสุด สดๆ ร้อนๆ ด้วย
สีเหลืองเป็นสีประจำทีมชาติมาเลเซียมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นสีประจำของสถาบันสุลต่าน และมีนิ๊กเนมว่า “Yellow Tiger” หรือ “เสือเหลือง” แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำสีน้ำเงินกลายเป็นสีนำโชค ก็คือการที่นักเตะมาเลเซียสวมใส่เสื้อสีน้ำเงินคว้าแชมป์ซีเกมส์ที่เวียงจันทน์ในปี 2010 ซึ่งถือเป็นแชมป์แรกในรอบ 20 ปีของมาเลเซีย
หลังจากนั้นในปีต่อมา ในศึก AFF Suzuki Cup2010 มาเลเซียไม่รู้จักชนะเมื่อเป็น “เสือเหลือง” แต่กลับโชว์ฟอร์มไร้พ่ายเมื่อกลายพันธุ์เป็น “Blue Tiger” อย่างน่ามหัศจรรย์จนคว้าแชมป์มาครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มาเลเซียจึงมีความเชื่อมาตลอดว่า สีน้ำเงินคือสีนำโชคนำชัย
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ มาเลเซียเลือกใส่เสื้อสีน้ำเงินในนัดชิงชนะเลิศนัดที่สองกับทีมชาติไทย แทนที่จะเป็นชุดสีเหลืองในฐานะเจ้าบ้าน ด้วยความเชื่อว่า โชคจะซ้ำรอยนำพาแชมป์มาให้มาเลเซียอีกครั้งเหมือนเช่นในปี 2010
ในขณะเดียวกัน ด้วยเหตุเป็นทีมเยือนที่ต้องยินยอมเสียสิทธิการเลือกสีเสื้อให้เจ้าบ้านก่อน ทีมชาติไทยก็แก้เคล็ดด้วยการเขียนบ่งบอก “เสื้อนี้สีน้ำเงิน” บนชายเสื้อสีแดง ราวกับตอกย้ำว่า once blue, blue forever ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน และไม่ว่าเสื้อตัวนั้นสีอะไรก็ตาม แต่เสื้อตัวนี้ “สีน้ำเงิน” เสมอ
เหมือนเช่นการแก้เคล็ดของหลุยส์ อะราโกเนส อดีตยอดผู้จัดการทีมชาติสเปน ผู้ริเริ่มเปลี่ยนแปลงและทำให้ทีมกระทิงดุยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน เพราะเชื่อว่าสีเหลืองเป็นสีอับโชคเอามากๆ (ทั้งๆ ที่เป็นสีในธงชาติ) แต่เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงแก้เคล็ดโดยการเปลี่ยนโทนสีและเรียกว่าสีทองหรือสีคัสตาร์ดแทน ทีมชาติสเปนจึงไม่โชคร้ายหรือดวงเสียเพราะสีเสื้อเลย
นอกจากนี้ สโมสรอังกฤษทุกสโมสรที่มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสีน้ำเงินอย่างน่าบังเอิญ ตั้งแต่สโมสรเอฟเวอร์ตัน ที่มีบริษัทไทยเป็นสปอนเซอร์ รวมไปถึงสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้,เลสเตอร์และเรดดิ้ง ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ล้วนแต่เป็นทีมสีบลูทั้งสิ้น
ประการสำคัญต่อมามาเลเซียคงจะลืมดูประวัติศาสตร์ย้อนหลังว่า ชื่อของ “เกียรติศักดิ์เสนาเมือง” นั้นมีดวงที่ข่มมาเลเซียอยู่ในทีเพราะเคยเป็นผู้ยัดเยียดความปราชัยให้แก่ทีมมาเลเซียในศึกไทเกอร์คัพครั้งที่ 1 นัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 1996
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือ ทีมชาติไทยโชคดีที่สุดที่ได้รับกำลังใจจาก “พ่อหลวง” กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกกลับเอาชนะดวงของมาเลเซีย คว้าแชมป์แห่งอาเซียนเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีชนิดที่คนไทยมีความสุขปลื้มไปทั้งประเทศ







