ทำไมถึงมีการ 'คัดค้าน' การสร้างเขื่อนแม่วงก์?

ด้วยเหตุผลเรื่องความสมบูรณ์ของผืนป่าและประโยชน์ของเขื่อนที่อาจจะมีไม่มากเท่าที่ควร
จากการที่ดร.โสภณ พรโชคชัย ได้เขียนบทความ 2 บทความสนับสนุนการสร้างเขื่อนแม่วงก์ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าบทความทั้ง 2 มีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหลายจุด จึงใคร่ขอชี้แจงดังนี้
เขื่อน เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อกั้นแหล่งน้ำ ประโยชน์หลักของเขื่อน คือการควบคุมปริมาณน้ำท่า เพื่อการเกษตร และ การผลิตกระแสไฟฟ้า เขื่อนจึงมีหลายรูปแบบ ในฐานะที่เขื่อนมักจะเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การก่อสร้างจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่มากก็น้อย ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบของเขื่อนและสถานที่ในการก่อสร้างเป็นหลัก การจะอ้างว่าประเทศญี่ปุ่นหรืออเมริกามีเขื่อนมาก ไทยจึงควรสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้นเป็นตรรกะที่ไม่สามารถหาเหตุผลเชื่อมโยงกันได้ เนื่องจาก 3 เหตุผลหลักคือ
1. รูปแบบของเขื่อนซึ่งแตกต่างกัน ไม่มีเขื่อนใดๆ ในโลกนี้ที่เหมือนกัน
2. สถานที่ตั้งของเขื่อนนั้นไม่เหมือนกัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์น่าจะทราบดีว่า สถานที่ตั้งนั้นมีความสำคัญเพียงใดกับโครงการพัฒนาต่างๆ
3. การพัฒนาประเทศของญี่ปุ่นและอเมริกาซึ่งถูกยกมาว่าเป็นตัวแทนประเทศที่มีเขื่อนเยอะนั้น ห่างจากประเทศไทยประมาณ 40-50 ปี ประเทศทั้งสองเริ่มสร้างเขื่อนในยุคที่ความเข้าใจของผลกระทบของเขื่อนต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนยังมีไม่มากเท่ากับในปัจจุบัน หรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหม่ที่เชื่อมโยงการสร้างเขื่อนกับแผ่นดินไหวนั้นก็เพิ่งมีการศึกษากันไม่นานนัก ในขณะเดียวกันทางเลือกของเทคโนโลยี เช่นการผลิตกระแสไฟฟ้า ก็ยังมีไม่มากเท่าในปัจจุบัน ในการประชุมกับผู้นำในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา นางฮิลลารี คลินตัน ยังได้กล่าวไว้ว่า “อย่าทำในสิ่งที่ประเทศของเรา เคยทำผิดพลาดไปแล้ว” เมื่อเอ่ยถึงการสร้างเขื่อนของภูมิภาคบ้านเรา
ในส่วนของเขื่อนแม่วงก์นั้นเป็นเขื่อนที่สร้างขึ้นเพื่อการชลประทานและป้องกันน้ำท่วมเป็นหลัก โดยจะก่อสร้างในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ในเขต จ.นครสวรรค์และกำแพงเพชร ป่าแม่วงก์นี้ เป็นผืนป่าที่เชื่อมต่อกันกับเขตอนุรักษ์หลายแห่ง เช่น อช.คลองลาน และ อช.อุ้มผาง ซึ่งเป็นแนวป่าใหญ่ที่เชื่อมต่อกับ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และ เขตฯทุ่งใหญ่นเรศวร และยังติดกับป่าผืนใหญ่ในประเทศพม่า รวมกันแล้ว ป่าผืนนี้เป็นป่าที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราเรียกผืนป่านี้รวมๆ กันว่า ผืนป่าตะวันตก (Western Forest Complex) ป่าสมบูรณ์ผืนนี้ในปัจจุบันเป็นบ้านของเสือโคร่งประมาณ 250 ตัว ซึ่งถือว่ามีปริมาณมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศอินเดียเท่านั้น และยังเป็นแหล่งที่มีรายงานชัดเจนว่าเสือโคร่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามในการอนุรักษ์ป่าผืนนี้ของรัฐบาลไทยและภาคเอกชนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นักอนุรักษ์ใช้เสือโคร่งเป็นดัชนีในการอนุรักษ์เพราะเสือโคร่งนั้นเป็นสัตว์ผู้ล่าขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารการอนุรักษ์เสือจึงเป็นการอนุรักษ์ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ใต้เสือลงมา ทั้งสัตว์กินพืชน้อยใหญ่ ป่า น้ำ และ ระบบนิเวศทั้งหมด การที่เสือเพิ่มจำนวนจึงหมายถึงการอนุรักษ์ที่ประสบผลสำเร็จทั้งระบบ มิใช่เพียงต้องการให้เสือมีชีวิตอยู่ การที่ดร.โสภณ อ้างว่าเลี้ยงเสือโคร่งไว้ในสวนสัตว์ เสือจะอายุยืนกว่าจึงไม่ใช่แนวทางการอนุรักษ์ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป้าหมายของนักอนุรักษ์แต่อย่างใด ความอุดมสมบูรณ์ของป่าผืนนี้เอง ที่ทำให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ตัดสินใจส่งหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าไม่อนุญาตให้มีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
ทั้งนี้ ผืนป่าบริเวณที่จะถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนนั้น มีพื้นที่ประมาณ 12,000 ไร่ ซึ่งนับเป็นปริมาณที่น้อยถ้าหากเทียบกับผืนป่าตะวันตกทั้งผืน แต่ความสำคัญของพื้นที่ดังกล่าวคือเป็นที่ราบที่มีลำน้ำไหลผ่านตลอดปี และเป็นป่าเบญจพรรณและเต็งรัง เป็นลักษณะของป่าโปร่ง ซึ่งอาจจะดูไม่สวยและดูแห้งๆ ในฤดูแล้ง แต่ในฤดูฝนแสงแดดที่ส่องลงถึงพื้นดินจะทำให้มีหญ้าซึ่งเป็นอาหารของสัตว์กินพืชขึ้น ทำให้พื้นที่นี้มีทั้งน้ำและอาหารที่สมบูรณ์เป็นที่อยู่และแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์กินพืชต่างๆ เป็นอย่างดี ตามที่จะเห็นรอยเท้าสัตว์เหล่านี้ย่ำเปรอะอยู่ทั่วไปในพื้นที่ การที่จะเจอเสือในบริเวณน้ำท่วมหรือไม่จึงมิใช่สาระสำคัญเนื่องจากพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์อาหารของเสือซึ่งจะกระจายออกไปให้เสือกินอยู่ดี อย่างไรก็ดี ภาพดักถ่ายของ WWF พบเสือโคร่งแม่และลูกสองตัวห่างจากจุดที่น้ำท่วมถึงไปเพียง 10 กม.เท่านั้น ซึ่งนับว่าใกล้มาก สำหรับสัตว์ที่มีอาณาเขตการหากินกว้างเช่นเสือ
ในส่วนประโยชน์ของเขื่อนแม่วงก์ ถ้าหากศึกษาในส่วนของ EHIA ให้ละเอียดจะพบว่า ลำพังมูลค่าของสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นจากการชลประทานของเขื่อนแม่วงก์นั้น ไม่สามารถทำให้โครงการเขื่อนแม่วงก์ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 13,000 ล้านบาทคุ้มทุนได้ แต่กรมชลประทาน ต้องนำมูลค่าของป่าไม้ที่จะมีโครงการปลูกทดแทนป่าเดิมอีก 35,000 ไร่มานับรวมเข้าไปด้วยจึงจะคุ้มทุนอย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งในส่วนนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านให้ความเห็นว่าตัวเลขและวิธีการที่นำมาใช้นั้นมีหลายส่วนที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ นอกจากนั้นพื้นที่ที่ จะมีการปลูกป่าและตัวโครงการปลูกป่าเองก็ไม่มีความชัดเจนใดๆ และทำท่าว่าจะซ้อนทับกับพื้นที่ของชาวบ้านซึ่งมีการครอบครองทำการเกษตรอยู่แล้วหลายพันครัวเรือน นักวิชาการหลายฝ่ายจึงเห็นว่า ถ้าหากต้องการช่วยเหลือให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นนั้น น่าจะมีการจัดการในส่วนอื่นๆ เช่นการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ของเกษตรกรเอง แทนที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งไม่คุ้มค่าทางด้านนี้
ในส่วนของการช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วม พบว่าชุมชนที่มีปัญหาน้ำท่วมในบริเวณดังกล่าวคือ อ.ลาดยาว ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่สร้างเขื่อนไปพอสมควร การศึกษาของกรมชลประทานเจ้าของโครงการพบว่าเขื่อนแม่วงก์จะช่วยเหลืออำเภอลาดยาวได้เพียง 20% เนื่องจากน้ำที่ท่วมอำเภอนั้นไม่ได้ไหลมาจากลำน้ำแม่วงก์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นน้ำที่หลากท่วมทุ่งมาจากทางเหนือของอำเภอด้วย ดังนั้น จึงได้มีการเสนอให้ลองหาทางเลือกอื่นในการลดปัญหาน้ำท่วมอำเภอลาดยาว เช่น การขยายเส้นทางระบายน้ำริมถนน การขุดลอกคูคลองเพื่อผันน้ำไม่ให้ไหลเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งสามารถทำได้และช่วยเหลือได้ทันทีไม่ต้องรอสร้างเขื่อนแม่วงก์อีกถึง 8 ปี ทั้งนี้อัตราการกักเก็บน้ำของเขื่อนแม่วงก์ทั้งเขื่อนนั้น คิดเป็นแค่เพียงร้อยละ 1 ของปริมาณน้ำท่วมภาคกลางเมื่อปลายปี พ.ศ.2555 เชื่อมต่อต้นปี พ.ศ.2556 เขื่อนแม่วงก์จึงสามารถช่วยในกรณีดังกล่าวได้น้อยมาก
ด้วยเหตุผลเรื่องความสมบูรณ์ของผืนป่า และประโยชน์ของเขื่อนที่อาจจะมีไม่มากเท่าที่ควร และมูลค่าการลงทุนที่ค่อนข้างสูง และมีแนวโน้มที่จะไม่คุ้มทุนค่อนข้างสูง จึงทำให้โครงการเขื่อนแม่วงก์ไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทุกยุคทุกสมัยรวมหลายสิบปีแล้ว และทุกครั้งก็จะมีการแจ้งให้กรมชลประทานเจ้าของโครงการให้ลองศึกษาทางเลือกเพิ่มเติมว่าจะสามารถจัดการน้ำในบริเวณดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง แต่กรมชลประทานกลับไม่เคยพยายามออกจากกรอบเดิมๆ ของตนและแสวงหาแนวทางที่ไม่ต้องทำลายป่าแต่ยังคงพยายามที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ให้ได้ การสูญเสียงบประมาณครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อทำการศึกษาต่างๆ ซึ่งไม่เคยมีอะไรคืบหน้า จึงเริ่มเป็นข้อสงสัยว่ากรมชลประทานจะดันทุรังไปอีกเพื่ออะไรกันแน่?







