การเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตกับผลกระทบต่อราคาน้ำมัน

การเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตกับผลกระทบต่อราคาน้ำมัน

ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของประชาชน

และยังเป็นสินค้าที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นในภาคครัวเรือนหรือภาคธุรกิจต่างมีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อประโยชน์ของกิจการตนเองทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ประชาชนทั่วไปมีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ หรือในภาคธุรกิจที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตสินค้าหรือให้บริการต่างๆ เป็นต้น อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงประเด็นเรื่องความจำเป็นที่จะต้องบริโภคดังที่ได้กล่าวข้างต้นกับประเด็นเรื่องราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วจะพบว่า น้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามความต้องการในการบริโภค ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ดังที่ทุกท่านได้ทราบ

หากจะย้อนกลับไปพิจารณาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดีเซลในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าน้ำมันดีเซลสำเร็จรูปในตลาดโลกมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดีเซลในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงยังจำได้ดีกับประสบการณ์ที่ต้องใช้น้ำมันดีเซลที่มีราคาลิตรละไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าบาทได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายต่างยอมรับว่าการที่น้ำมันดีเซลมีระดับราคาที่สูงเกินไปนั้นจะส่งผลกระทบทางลบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือของรัฐไม่ว่าจะเป็นกองทุนน้ำมันหรือมาตรการทางภาษีอากร เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลให้มีความเหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมากจนเกินไป

ในอดีตนั้น รัฐบาลนิยมใช้เครื่องมือทางกฎหมาย อันได้แก่ “ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล” เพื่อเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น โดยมีพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 เป็นกฎหมายหลักที่บัญญัติให้สินค้าประเภทน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่นและก๊าซธรรมชาติ อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีสรรพสามิต โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องเสียภาษีตามมูลค่าหรือปริมาณของสินค้าแต่ละประเภท ตามอัตราที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต สำหรับกรณีน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนักนั้น กระทรวงการคลังได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 126) เพื่อลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจากที่จัดเก็บในปริมาณลิตรละ 10 บาท คงเหลือจัดเก็บในปริมาณลิตรละ 0.750 บาท และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. 2557 เป็นต้นไป

การประกาศลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลดังที่ได้กล่าวข้างต้น ประกอบกับการใช้เครื่องมือกองทุนน้ำมันตามนโยบายของรัฐบาล ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสำเร็จรูปในประเทศมีราคาประมาณลิตรละ 30 บาท และหลายฝ่ายเห็นว่าระดับราคาดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมากนัก อย่างไรก็ดี ยังปรากฏความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนโยบายการประกาศลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งฝ่ายที่เห็นต่างเห็นว่า การประกาศลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็นการบิดเบือนราคาตามกลไกตลาด และยังทำให้ประชาชนไม่ตระหนักถึงการประหยัดพลังงานอันเป็นนโยบายสำคัญอย่างหนึ่งของรัฐบาล สำหรับฝ่ายที่เห็นด้วยยังคงสนับสนุนการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เนื่องจากจะเป็นการบรรเทาภาระการดำรงชีพให้กับประชาชนในยุคที่สินค้าและบริการต่างมีราคาสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเชื่อว่าในขณะนี้ประชาชนส่วนมากอาจยังไม่ทราบว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ 129) และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.2557 ที่ผ่านมา ซึ่งประกาศกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าวเป็นการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจากการจัดเก็บในปริมาณลิตรละ 10 บาท คงเหลือการจัดเก็บในปริมาณลิตรละ 3.250 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่จัดเก็บก่อนหน้านี้ซึ่งจัดเก็บในปริมาณลิตรละ 0.750 บาท อย่างไรก็ตาม การลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลครั้งล่าสุดดังกล่าวนี้ก็มิได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศเพิ่มขึ้นแต่ประการใด เนื่องจากได้รับผลดีจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องแตกต่างจากปีที่ผ่านมา การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดระดับราคาลงย่อมส่งผลทำให้ต้นทุนน้ำมันภายในประเทศลดลงตามไปด้วยและทำให้ฐานภาษีมีจำนวนน้อยลงในที่สุด ผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศจึงได้ทยอยปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง คงเหลือราคาขายประมาณลิตรละ 27 บาท ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน

ดังนั้น หากพิจารณาในทางกฎหมายภาษีแล้ว การเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากน้ำมันดีเซล อาจส่งผลทำให้น้ำมันดีเซลมีระดับราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงปัจจัยอื่นที่มิใช่ทางกฎหมายภาษีร่วมด้วยแล้ว การที่สินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งรวมถึงน้ำมันดีเซลจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่นั้นยังขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์และปัจจัยอื่นๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นประกอบด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความเห็นส่งท้ายว่า กฎหมายภาษีสรรพสามิตน้ำมันถือเป็นเครื่องมือดำเนินการที่สำคัญด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล หากแต่รัฐบาลควรต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาและต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากหากรัฐบาลมิได้พิจารณาการเพิ่มหรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันอย่างถี่ถ้วนให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว การเพิ่มหรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันอาจส่งผลกระทบทางลบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจกระทบถึงความมั่นคงและความยั่งยืนของรัฐบาลได้ในที่สุด