การเลือกตั้ง และระบบเลือกตั้ง: รูปแบบ แนวคิด และทางปฏิบัติ

การเลือกตั้ง และระบบเลือกตั้ง: รูปแบบ แนวคิด และทางปฏิบัติ

ปัญหาหนึ่งที่เกิดกับประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้งให้ได้สมาชิกสภาที่มีความชอบธรรม

ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนของประชาชน คำถามอาจจะเริ่มต้นที่ว่า ถ้าจำนวนผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีน้อยเกินไป เช่นน้อยกว่าร้อยละ 50 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด อย่างนี้จะถือว่าสภาผู้แทนที่ได้มา เข้ามาทำหน้าที่อย่างชอบธรรมหรือไม่ ? หรือแม้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเกินร้อยละ 50 แต่ถ้าผลการเลือกตั้งไม่ได้ทำให้การเลือกตั้งมีความชอบธรรม เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เลือกอย่างหนึ่ง แต่ระบบการเลือกตั้งทำให้ได้สมาชิกสภาส่วนใหญ่มาจากเสียง (Popular Vote) ส่วนน้อยของประชาชน อย่างนี้จะถือว่ามีความชอบธรรมได้หรือไม่

จากการศึกษาพบว่า ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา โดยเฉลี่ยแล้วประเทศต่างๆ ในโลกมีประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิประมาณร้อยละ 64 ในหลายประเทศ มีผู้ออกมาใช้สิทธิไม่ถึงร้อยละ 50 และแม้แต่ร้อยละ 25 ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั้งหลาย แนวโน้มของการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมีทีท่าว่าจะลดลงไปอีก ในประเทศอังกฤษได้มีการศึกษาสาเหตุที่ประชาชนไม่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ว่าเป็นเพราะสาเหตุหลายประการ อาทิ

- ประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาล

- ธรรมชาติของการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองมีน้อยลง

- ระบบการเลือกตั้งที่สับสน

- รูปแบบและเนื้อหาการนำเสนอของสื่อที่มีผลต่อการเลือกตั้ง

- การไม่สนใจเรื่องของบ้านเมืองของคนรุ่นใหม่ และ

- ผู้จัดการเลือกตั้ง เช่นคณะกรรมการเลือกตั้ง ไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง

โดยหลักการแล้ว ผลการเลือกตั้งควรบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งกับนักเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี ถ้ายิ่งผู้ออกเสียงเลือกตั้งกับนักการเมืองมีความสัมพันธ์ที่ดี ผลการเลือกตั้งก็น่าจะดีด้วย ในบางประเทศที่กฎหมายอนุญาตให้บุคคลอายุ 16 ปี ก็สามารถใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้ พบว่ามีจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งสูงขึ้นกว่าเมื่อครั้งที่กำหนดอายุขั้นต่ำ 18 ปี จริงอยู่ บุคคลอายุเพียง 16 ปี อาจจะยังไม่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองมากนัก แต่โดยธรรมชาติ ผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นความเป็นผู้เยาว์ใหม่ๆ เช่นนี้ย่อมยังมีความใกล้ชิดกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ออกมาใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ลูกก็มักจะออกมาใช้สิทธิพร้อมกับพ่อแม่ และถ้าลูกถูกสร้างนิสัยให้ใช้สิทธิเลือกตั้งมาตั้งแต่วัยเยาว์ ก็จะเกิดการสร้างนิสัยที่จะใช้สิทธิในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป ในทางกลับกัน ถ้าอายุผู้ใช้สิทธิเริ่มต้นที่อายุ 20 ปีหรือแม้แต่ 18 ปี ระยะเวลาที่จะสร้างนิสัยให้คุ้นเคยกับการใช้สิทธิเลือกตั้งก็อาจจะน้อยลง ทำให้มีผลต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในทางการเมืองน้อยลงด้วย

ความต้องการที่จะให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในสัดส่วนที่สูงนั้น ได้มีความพยายามเชิงบังคับจากหลายประเทศให้ประชาชนต้องออกมาเลือกตั้ง (Compulsory Vote) เช่นที่ออสเตรเลีย เบลเยียม กรีซ ลักเซมเบิร์ก ลิกเตนสไตน์ เตอรกี และอีกหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ แต่ในหลายประเทศก็ไม่แน่ใจว่าการบังคับให้ประชาชนออกมาเลือกตั้งเช่นว่านี้จะเป็นผลดีกับประเทศเพียงใด แน่นอนจำนวนร้อยละของผู้ออกเสียงจะสูงมาก แต่สัดส่วนที่สูงนั้นไม่ได้แปลว่าประชาชนมีความนิยมหรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักการเมืองหรือกิจกรรมทางการเมือง และก็คงไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่าจำนวนตัวเลขที่ดูดีขึ้นเท่านั้น

ในบางประเทศ มีความพยายามที่จะให้มีรูปแบบ วิธี หรือระบบการออกเสียงเลือกตั้งที่ง่ายและสะดวกมากขึ้นโดยอาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ แทนที่จะให้ผู้เลือกตั้งมาเข้าคิว กาเครื่องหมายในคูหาเลือกตั้งดังที่เคยประพฤติปฏิบัติกันอยู่โดยทั่วไป บางประเทศยอมให้ผู้ออกเสียงเลือกตั้งสามารถลงคะแนน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ได้ หรือออกเสียงโดยวิธีผ่านดิจิทัลทีวี (Digital TV) ออกเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต ออกเสียงผ่านโทรศัพท์ และแม้กระทั่งออกเสียงผ่านข้อความสั้น (Short Message) โทรศัพท์มือถือ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นของอังกฤษหลายๆ แห่งใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเพื่อให้ประชาชนได้มีทางเลือกหลากหลายมากขึ้นในการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และก็ได้ผลเพราะทำให้สัดส่วนของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก สร้างความพอใจให้กับคณะกรรมการผู้จัดการเลือกตั้ง แต่ก็เกิดคำถามใหม่ว่า แล้วประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นจะทำอย่างไร เทคโนโลยีทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของการเข้าถึงและเข้าใช้เทคโนโลยีของประชาชนในสังคมเดียวกัน ทำให้เฉพาะบุคคลหรือครอบครัวที่เข้าถึงเทคโนโลยีเท่านั้นที่จะสามารถใช้สิทธิได้อย่างเต็มที่ และนี่ก็อาจจะเป็นปัญหาด้านความชอบธรรมของผลการเลือกตั้ง ที่ผู้จัดการเลือกตั้งต้องพิจารณาให้ดีก่อนมีการใช้เทคโนโลยีใดๆ

ผู้สมัครรับเลือกตั้ง กับความเป็นผู้แทนของประชาชน

ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ก็คือสัดส่วนของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในสังคม ในหลายประเทศ ประชาชนมีความหลากหลายทั้งในเรื่องชาติพันธุ์ ความเชื่อ และแม้แต่ความแตกต่างของวิถีทางเพศ อาทิเช่น ในแต่ละประเทศ ประชาชนเพศหญิงและชายจะมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน คือ 50/50 แต่มักจะปรากฏว่าผู้แทนที่เป็นหญิงจะมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้แทนที่เป็นชายอย่างมาก หรือสัดส่วนของประชาชนที่มีความเชื่อหรือนับถือศาสนาอื่นที่แตกต่างจากศาสนาหลักของประเทศ ก็มีสัดส่วนของผู้แทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในขณะนี้ก็คือสัดส่วนของประชาชนที่มีวิถีทางเพศใน

รูปแบบอื่นเช่น ซึ่งเรียกกันว่าเพศที่สาม ซึ่งเริ่มปรากฏชัดและในหลายๆ ครั้งต้องการให้สังคมยอมรับและได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เริ่มมีการแสวงหาผู้แทนของกลุ่มเข้าไปมีบทบาทในทางสังคม แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลของหลายๆ ประเทศ

การที่จะได้ผู้แทนที่เป็นไปตามสัดส่วนของสังคมน่าจะเริ่มต้นที่พรรคการเมืองที่เป็นผู้คัดสรรบุคคลเข้าสมัครรับเลือกตั้ง เพราะถ้าพรรคการเมืองไม่ได้ให้ความสำคัญแล้ว ผู้สมัครที่มาจากสัดส่วนดังกล่าวจะถูกปิดกั้นตั้งแต่ต้น และอาจถือได้ว่าเป็นความลำเอียงของพรรคการเมืองมาแต่ต้นเช่นเดียวกัน ผลก็คือ ผลการเลือกตั้งก็จะถูกตั้งคำถามว่ามีความชอบธรรมเพียงใดสำหรับผลการเลือกตั้งนั้น และเพื่อสร้างความชอบธรรมให้เพิ่มมากขึ้นหลายประเทศได้มีความพยายามแก้ปัญหาโดยสร้างระบบผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อ (Party List) ขึ้นมาเป็นทางเลือก และออกกฎเกณฑ์วิธีการต่างๆ เพื่อให้มีสภาพบังคับหรือมีผลบังคับใช้ได้จริง

ระบบเลือกตั้ง

ในประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น มีการใช้ระบบเลือกตั้งที่หลากหลาย และเป็นที่ยอมรับว่าระบบเลือกตั้งของสังคมหนึ่งอาจมีความเหมาะสมสำหรับสังคมนั้นแต่ไม่เหมาะสมสำหรับสังคมอื่น หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีสังคมใดที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในสังคมได้ทุกคน นั่นคือ สังคมจะต้องยอมรับระบบที่เลวร้ายน้อยสุดซึ่งสามารถตอบสนองและสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของสังคมที่มีการเลือกตั้งนั่นเอง ประเทศที่มีประชาชนหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันอาจมีระบบเลือกตั้งที่ต่างจากประเทศที่ประชาชนไม่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์หรือมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์น้อย เพื่อให้มีผู้แทนจากชาติพันธุ์

ที่ต่างกันเข้ามาเป็นผู้แทน ระบบเลือกตั้งจะต้องสร้างสมดุลแนวความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน สร้างความโปร่งใสหรือธรรมาภิบาลในการเลือกตั้ง และจะต้องรับผิดชอบในการก่อให้เกิดสภาวะที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายในสังคมด้วย บทบัญญัติทั้งหลายอันเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง วิธีการออกเสียงเลือกตั้ง และการใช้เงินเพื่อการเลือกตั้ง เหล่านี้ จะต้องถูกนำมาพิจารณาประกอบในการสร้างระบบการเลือกตั้ง และแน่นอนว่า แม้การเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็มิใช่กลไกเดียวที่จะสร้างความมั่นคงในระบอบประชาธิปไตย ความมั่นคงของประชาชนพลเมืองในประเทศและธรรมาภิบาลในสังคม รัฐบาลที่เปิดกว้าง มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สามารถถูกตรวจสอบโดยอำนาจตุลาการได้ การออกแบบสถาบันฝ่ายบริหาร การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งหลายเหล่านี้ เกี่ยวข้อง และช่วยอุดช่องว่าง หรือข้อจำกัดของระบบเลือกตั้งได้

ในปัจจุบัน แม้ว่าระบบเลือกตั้งจะมีความหลากหลาย แต่เมื่อพิจารณาอย่างกว้างๆ ก็จะพบว่าสามารถแบ่งได้เป็นสามระบบด้วยกัน ซึ่งทั้งสามระบบนี้สามารถผสมผสานและใช้ร่วมกันได้ คือ

- ระบบเลือกตั้งที่ใช้เสียงส่วนใหญ่อย่างเดียว หรือการเลือกตั้งแบบง่าย ซึ่งที่ประเทศอังกฤษเรียกว่า First Past the Post System หรือระบบ Plurality หรือ Majority Vote Systemที่บางประเทศกล่าวถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งทั่วไป ของหลายประเทศใช้ระบบนี้อย่างแพร่หลาย

- ระบบที่สองเรียกว่า ระบบออกเสียงเลือกตั้งตามความพอใจ หรือที่เรียกว่า Preferential Voting System

- ระบบที่สามเรียกว่าระบบผู้แทนตามสัดส่วน หรือ Proportional Representative System

ระบบผู้แทนตามสัดส่วน (Proportional Representation หรือ PR) แสดงถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งที่มุ่งหมายให้พรรคการเมืองทั้งหลายเข้ามามีผู้แทนเป็นสัดส่วนในสภาใกล้เคียงกับเสียงสนับสนุนจากประชาชนในประเทศมากที่สุด และทำให้เกิดความยุติธรรมและเป็นธรรมระหว่างพรรคการเมืองทั้งหลายในสภาด้วย ซึ่งแตกต่างจากจุดมุ่งหมายของระบบเลือกตั้งตามความพอใจ (Preferential Voting System) ซึ่งให้ผู้ออกเสียงมีสิทธิเลือกผู้สมัคร ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทุกระบบ ผู้เลือกตั้งต้องออกมาลงคะแนน ทั้งนี้ผู้เลือกตั้งจะได้รับสิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมในการเข้ามามีส่วนร่วม และมีอิทธิพลต่อการเมืองของประเทศ และเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องคิดอยู่เสมอเมื่อมีการพิจารณาว่าระบบเลือกตั้งแบบใดจะดีกว่ากัน

ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นแม่แบบของหลายๆ ประเทศ มีระบบเลือกตั้งที่หลากหลาย อาทิ ระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด (Open List System) ระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด (Closed List System) ระบบเสริมสมาชิก (Additional Members System หรือ AMS) ระบบออกเสียงเพิ่มเติมเพื่อการเลือกตั้ง (Supplementary Vote for Election) ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงเชิงเดี่ยว (Single Transferable Vote หรือ STV) และระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้ง (First Past the Post) ระบบทั้งหลายข้างต้นนี้มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน และไม่มีระบบใดที่สมบูรณ์แบบ

ระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้ง (First Past the Post) หรือ การเลือกตั้งแบบง่าย (Majority Vote)

ระบบนี้ในบางครั้งเรียกว่า การเลือกตั้งแบบง่าย เป็นระบบที่ใช้มานาน เป็นระบบที่อิงเสียงส่วนใหญ่ (Majority หรือ Plurality Voting) ระบบนี้ไม่มีการกำหนดว่าจะต้องได้คะแนนเสียงเกินร้อยละ 50 ของผู้ออกเสียงทั้งหมด ผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงมากกว่าคนอื่นในเขตเลือกตั้งเดียวกันจะได้รับการเลือกตั้งแต่เพียงผู้เดียว จึงมีปรากฏการณ์บ่อยๆ ว่าผู้ที่ได้รับเลือกตั้งได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 50 แต่ก็ได้รับการเลือกตั้ง และกลายเป็นว่าคะแนนเสียงที่เหลือซึ่งมากกว่าร้อยละ 50 ในเขตเลือกตั้งนั้นไม่มีความหมาย เพราะไม่ทำให้ได้ผู้แทนเข้ามาในสภา

ระบบนี้ให้ความมั่นใจว่าสมาชิกสภาจะประกอบด้วยผู้แทนจากเขตเลือกตั้งเขตละคน และไม่มีระบบอื่นที่เป็นเช่นนี้ ระบบนี้ให้ความสำคัญกับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ละคน และแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งผู้นั้นกับผู้สมัครรับเลือกตั้งคนนั้นโดยตรง ซึ่งถ้าเป็นระบบบัญชีรายชื่อแล้วจะเป็นไปไม่ได้ เพราะระหว่างผู้เลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งจะมีพรรคการเมืองขั้นกลาง ทำให้ไม่เกิดสภาวะความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างผู้เลือกตั้งกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง

ภายใต้ระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้งนี้ทำให้ได้สมาชิกสภาที่มาจากพรรคที่มีเสียงส่วนใหญ่ แต่ในบางครั้งคะแนนเสียงจากประชาชน (Popular Vote) อาจไม่ถึงร้อยละ 50 และในบางครั้งเช่นกัน คะแนนเสียงจากประชาชนของพรรคใหญ่ที่สุดอาจน้อยกว่าคะแนนเสียงจากพรรคใหญ่ลำดับรองลงมาก็เป็นไปได้ แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เช่นในประเทศอังกฤษ ในปี 1951 และปี 1974 เป็นต้น ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความไม่ชอบธรรมของสภาอย่างมาก

ยิ่งกว่านี้ ในบางครั้ง พรรคที่เล็กกว่า แต่ส่งผู้สมัครกระจายไปตามภูมิภาคอย่างทั่วถึง กลับจะไม่มีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งเลย ผลก็คือ เสียงส่วนใหญ่ในสภาก็จะไม่ตอบสนองการเรียกร้องหรือแรงกดดันจากพรรคอื่นๆ ในสภา และการตั้งกรรมาธิการต่างๆ ในสภา กรรมาธิการและประธานกรรมาธิการส่วนใหญ่ก็จะตกเป็นของพรรคใหญ่แทบทั้งสิ้น และถ้าเป็นเช่นนี้ พรรคใหญ่นั้นๆ ก็มีโอกาสสืบทอดเป็นพรรคใหญ่ครองเสียงข้างมากเป็นระยะเวลานาน และนั่นอาจทำให้เกิดปัญหาการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ตลอดจนการมีการคอร์รัปชันเกิดขึ้น

ผู้แทนตามสัดส่วน (Proportional Representation System หรือ ระบบ PR)

จากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งแต่เพียงผู้เดียว ทำให้เกิดการมองหาทางเลือกใหม่ที่เรียกว่า ระบบผู้แทนตามสัดส่วน ซึ่งมีทั้งระบบผู้แทนจากบัญชีรายชื่อ (Party List) และระบบสมาชิกเสริมจากบัญชีรายชื่อ (Additional Members System หรือ AMS)

การสร้างสัดส่วนระหว่างพรรคการเมืองสามารถทำได้ผ่านระบบเลือกตั้งในหลายระดับด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งที่ใช้ระบบบัญชีรายชื่อแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปได้ทั้งระบบเปิด (Open Party List) และระบบปิด (Closed Party List) และระบบผสมระหว่างระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือก (First Past the Post) หรือระบบเลือกตามความพอใจ (Preferential Voting System) กับระบบบัญชีรายชื่อ

ทั้งสามระบบนี้มีลักษณะสำคัญคือ

- ระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด (Closed Party List) ให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกผู้สมัครจากบัญชีเลือกตั้งบัญชีเดียว หรือมิฉะนั้นก็กาในช่องไม่ใช้สิทธิ และที่นั่งในสภาก็ตกแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนเรียงตามลำดับที่กำหนดโดยพรรคการเมืองนั้น

- ระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด (Open Party List) เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกผู้สมัครจากบัญชีรายชื่อตามความต้องการ

- ระบบผสม (Mixed System) เป็นการผสมผสานระหว่างระบบผู้ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือกกับระบบบัญชีรายชื่อ

หลายประเทศในภาคพื้นยุโรปตะวันตกใช้ระบบบัญชีรายชื่ออย่างเดียวในการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกตั้งตามสัดส่วนอย่างแท้จริง (True Proportional Representation System) เนื่องจากมุ่งหมายให้มีความมั่นคงเรื่องของสัดส่วนระหว่างพรรคการเมือง ระบบบัญชีรายชื่อโดยปกติจะแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นภูมิภาคแทนเขตเลือกตั้งขนาดเล็ก (ยกเว้นบางประเทศเช่นอิสราเอล และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งใช้ทั้งประเทศ) โดยแต่ละภูมิภาคจะกระจายจำนวนที่นั่ง ซึ่งอาจมีการเปิดโอกาสให้ผู้สมัครอิสระบ้าง แม้ว่าโอกาสของผู้สมัครอิสระจะมีน้อยมาก

ระบบบัญชีรายชื่อแบบนี้จะไม่มีเรื่องของความเชื่อมโยง หรือความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลือกตั้งกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเลย ระบบบัญชีรายชื่อจะให้ความสำคัญกับองค์กรพรรคที่จะคัดเลือกผู้สมัคร กำหนดชื่อผู้สมัครในบัญชีรายชื่อ ตามการอุปถัมภ์หรืออำนาจที่ผู้สมัครเหล่านั้นมีต่อองค์กรพรรค ในบางประเทศ เช่นเยอรมัน มีการกำหนดกฎเกณฑ์ และวิธีการกำหนดชื่อผู้สมัครตามลำดับ แต่หลายประเทศไม่มีกฎเกณฑ์เช่นว่านั้น ระบบบัญชีรายชื่อแบบปิดที่เคร่งครัดนี้ได้ถูกใช้ครั้งแรกในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปในปี 1993 แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเปิดโอกาสให้พรรคมีอำนาจมากเกินไปในการกำหนดผู้สมัครในบัญชีรายชื่อ และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ออกเสียงเลือกตั้งมีโอกาสเลือกผู้สมัครที่พึงพอใจในบัญชีเลย เพราะต้องเลือกบัญชีใดบัญชีหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากไม่ออกมาใช้สิทธิ หรือใช้สิทธิแต่กาในช่องไม่เลือกบัญชีใด

ทางเลือกหนึ่งของระบบบัญชีแบบปิด ที่ทำกันก็คือการกำหนดรายชื่อผู้สมัครในแต่ละบัญชีเรียงตามตัวอักษร หรือโดยการสุ่มเลือกตามลำดับ และให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิที่จะเรียงลำดับได้ใหม่ ซึ่งเป็นระบบบัญชีแบบเปิด (Open Party List) หรือแบบกึ่งเปิด (Partial Open Party List) ในระบบเปิดหรือกึ่งเปิดนี้ ผู้ออกเสียงจะระบุผู้สมัครที่ตนพอใจในบัญชีรายชื่อ และชื่อที่ได้รับเลือกมากที่สุดจะได้รับเลือก เรียงตามลำดับลงมา สำหรับในแบบกึ่งเปิด ระบบนี้ยอมให้ทั้งการเลือกพรรค หรือเลือกชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อของผู้ใช้สิทธิแต่ละคน พิจารณาเสียงที่กระจายให้กับพรรค โดยองค์กรพรรคจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครจะได้รับเลือกซึ่งจะมีอำนาจเหนือผู้สมัครที่ได้รับเลือก และผู้เลือกตั้งจะระบุชื่อเรียงลงมาตามลำดับ ระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิดจะมีประสิทธิภาพเพียงใดขึ้นอยู่กับขนาดของรายชื่อในบัญชีด้วย ซึ่งถ้ามีมากกว่า 20 ชื่อ จะทำให้ผู้ออกเสียงเลือกตั้งมีความสับสน และอาจเลือกได้ไม่ตรงตามความต้องการ ระบบบัญชีที่มีชื่อผู้สมัครน้อยจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ระบบบัญชีรายชื่อที่เคร่งครัดจะทำให้การออกเสียงเลือกตั้งมีประสิทธิภาพ โดยที่ผู้เลือกตั้งจะสามารถเลือกผู้สมัครที่พอใจได้สักหนึ่งคนเป็นอย่างน้อย หรือมากกว่านั้นจากบัญชีรายชื่อทั้งหมดที่ตนออกเสียงเลือกบัญชีนั้น ซึ่งผู้เลือกก็จะมีความรู้สึกดีขึ้น และอยากมาเลือกตั้งมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีความผูกพันโดยตรงกับสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อทั้งหมด

ในขณะเดียวกัน ระบบผสม (Mixed System) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยผสมผสานระหว่างระบบผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง (First Past the Post) กับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากรายชื่อเสริม (Additional Members System หรือ AMS) ในประเทศอังกฤษ คณะกรรมการเลือกตั้ง ได้ใช้ระบบเลือกตั้งเช่นว่านี้ในการเลือกตั้งทั่วไปของสภาล่าง (House of Common) ในปี 1998 โดยให้คัดเลือกสมาชิกสภาล่างจำนวน ร้อยละ 20 จากบัญชีรายชื่อ วิธีการเช่นนี้ทำให้แก้ปัญหาเรื่องจำนวนผู้มาใช้สิทธิน้อยและไม่เป็นสัดส่วนที่ควรจะเป็นอันเกิดจากระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับการเลือกตั้งได้บ้าง และในเขตเลือกตั้งก็ยังมีสมาชิกสภาที่ได้คะแนนสูงสุดมาเป็นผู้แทน ในขณะเดียวกันอำนาจของพรรคในการเสริมผู้สมัครจากบัญชีรายชื่อก็ไม่มากเกินไป คณะกรรมการเลือกตั้งเจนกินส์ (The Jenkins Commission) ของอังกฤษเสนอว่าถ้าจะให้มีประสิทธิผลสูงสุดสมาชิกส่วนของบัญชีรายชื่อที่จะนำมาเสริมควรจะเป็นชื่อต้นๆ ระหว่าง 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์แรก ที่เสนอมาให้เป็นทางเลือกเพิ่มเติมจากระบบผู้ได้คะแนนสูงสุด ระบบเช่นว่านี้จะทำให้ประชาชนสนใจที่จะออกมาใช้สิทธิมากขึ้น เพราะเชื่อว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งลำดับต้นๆ ของบัญชีรายชื่อมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้แทนของเขา อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ทำให้ได้สมาชิกสภาเป็นสองระดับด้วยกันตามความสัมพันธ์ที่มีระหว่างผู้เลือกตั้งกับผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ

ระบบเลือกตั้งตามความพอใจ (Preferential Voting System)

ระบบผู้แทนตามสัดส่วน (Proportional Representation หรือ PR) มีจุดประสงค์เพื่อความเป็นธรรมระหว่างพรรคการเมือง ในขณะที่ระบบเลือกตั้งตามความพอใจพยายามที่จะให้ผลการออกเสียงเลือกตั้งของผู้มีสิทธิมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีก โดยจำกัดอำนาจอุปถัมภ์ของพรรคการเมือง รูปแบบหนึ่งของระบบเลือกตั้งตามความพอใจนี้เรียกว่าระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (Single Transferable Vote System หรือ STV) ซึ่งใช้กันมากในการเลือกตั้งท้องถิ่นของไอร์แลนด์เหนือ ประเทศอังกฤษ เพื่อแก้ปัญหาระบบเลือกตั้งแบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้งแต่เพียงผู้เดียว ทำให้หลายท้องถิ่นมีผู้แทนจากพรรคเดียวบริหารเป็นเวลานาน จนประชาชนอึดอัด และมีความรู้สึกว่าสภาไม่ได้ตอบสนองและรับผิดชอบต่อประชาชนในท้องถิ่นอย่างพอเพียง โดยเฉพะท้องถิ่นที่ประชาชนมีชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันอาศัยอยู่ร่วมกัน ระบบ ถ่ายโอนคะแนนเสียง หรือ STV นี้ ในภายหลังบางประเทศได้นำไปประยุกต์ใช้อาทิ การเลือกตั้งทั่วไปในไอร์แลนด์ และการเลือกตั้งสภาสูงของออสเตรเลีย ซึ่งมีความเหมาะสมกับสภาพสังคม หรือแม้กระทั่งการเลือกตั้งองค์กรประเภทสหภาพแรงงาน สหภาพการค้า เป็นต้น

ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง หรือ STVนี้มีความซับซ้อนพอสมควร กล่าวอย่างย่อๆ ก็คือ แต่ละเขตเลือกตั้งจะส่งคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายคน ซึ่งคะแนนของผู้สมัครเหล่านี้รวมกันแล้วจะประมาณร้อยละ 80 ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ในบัตรเลือกตั้ง จะระบุชื่อของผู้สมัครเลือกตั้งเรียงตามตัวอักษร พร้อมข้อมูลว่าสังกัดพรรคใด (ถ้ามี) แต่ละพรรคก็จะส่งรายชื่อผู้สมัครในนามพรรคของตนมากเท่าที่ต้องการและคิดว่าจะชนะการเลือกตั้งได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะส่งตามจำนวนที่นั่งที่น่าจะได้รับเลือกในเขตนั้น และอาจเพิ่มเติมอีกหนึ่งหรือสองรายชื่อเผื่อโชคดี ผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็จะกาผู้สมัครที่ตนชอบเรียงลำดับตามความพอใจ เมื่อมีการนับคะแนน ก็จะเป็นไปตามของการเลือกตั้ง โดยพิจารณาจำนวนบัตรลงคะแนนทั้งหมด หารด้วยจำนวนที่นั่งบวกหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าโควตาในเขตเลือกตั้งมี 5 ที่นั่ง มีประชาชนมาใช้สิทธิ 100,000 คน ก็จะได้ค่าเท่ากับโควตา 100,000 หารด้วย 5+1 หรือเท่ากับ 16,666 การเลือกตามความพอใจครั้งแรกจะเริ่มจากการนับคะแนนรอบแรก ผู้สมัครที่คะแนนถึงโควตา 16,666 ในรอบนี้จะได้รับเลือกในชั้นนี้เป็นคนแรก ต่อจากนั้น คะแนนของผู้สมัครที่ได้รับคะแนนน้อยที่สุดก็จะถูกถ่ายโอนไปให้คนที่เป็นทางเลือกที่สอง (ซึ่งถ้าเป็นระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกแต่เพียงผู้เดียว ก็จะไม่มีการเลือกเช่นนี้) ในขณะเดียวกันคะแนนส่วนเกินของผู้สมัครที่ชนะก็จะถูกถ่ายโอนไปสู่ผู้สมัครที่เป็นทางเลือกที่สองด้วย แล้วก็เริ่มนับคะแนนกันใหม่ ผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนในรอบนี้ถึงโควตา 16,666 ก็จะได้รับเลือก กระบวนการถ่ายโอนคะแนนเช่นว่านี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะได้ผู้ได้รับเลือกตั้งครบจำนวนที่นั่งในเขตนั้น

อย่างไรก็ตามระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (Single Transferable Vote) นี้ก็มีข้อด้อย เมื่อเปรียบเทียบกับระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้ง (First Past the Post) และระบบ AMS ปัญหาหลักก็คือในหลายเขตสามารถมีสมาชิกสภาได้หลายคน ฉะนั้นเขตเลือกตั้งที่ต้องมีสมาชิกเกินหนึ่งคนภายใต้ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงนี้จะกว้างมาก และจะทำให้สมาชิกสภาแบบนี้ไม่สามารถเข้าถึงความเดือดร้อนของประชาชนได้เต็มที่ ในขณะเดียวกัน ความรับผิดชอบก็จะลดลงเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป หรือมีสภาอื่นที่ใหญ่กว่า มีอำนาจครอบคลุมมากกว่า หรือครอบคลุมทั่วประเทศเกิดขึ้นภายหลัง ระบบถ่ายโอนคะแนนกระตุ้นให้ผู้สมัครจากพรรคเดียวกันหาเสียงแข่งกัน ซึ่งก็ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียของระบบนี้ อย่างไรก็ตาม ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงนี้ทำให้เกิดทางเลือก เช่นระหว่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งชายกับหญิง หรือระหว่างพวกเสรีนิยมกับอนุรักษนิยม ที่จะเลือกผู้สมัครจากพรรคที่ตนเองชอบ

อย่างไรก็ตามระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงก็ยังมีข้อดี นั่นคือทำให้ประชาชนต้องการออกมาใช้สิทธิมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาที่อังกฤษพบว่ามีผู้มาใช้สิทธิสูงถึง ร้อยละ 83 จากการเลือกตั้งเขตที่มี 5 ที่นั่ง และมีความพอใจว่ามีผู้แทนที่ตนพอใจอย่างน้อยหนึ่งคนที่ลงคะแนนให้ได้รับการเลือกตั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับเขตเลือกตั้งอื่นๆ ที่มิได้ใช้ระบบนี้มีเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น และจากการศึกษาของ บอกเดเนอร์ (Bogdanor, 1981) พบว่าสัดส่วนตามระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงจะสูงมาก พรรคสามารถคาดหวังว่าจะได้ที่นั่งตามสัดส่วนร้อยละ 6 ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนพรรคของตนในรอบแรกจากระบบเลือกตั้งแบบตามความพอใจเช่นว่านี้ สิ่งที่แตกต่างจากระบบผู้สมัครได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้ง ก็คือระบบถ่ายโอนคะแนนจะไม่มีปัญหาเรื่องพรรค

อุปถัมภ์ และกฎระเบียบภายในพรรคเข้ามาเกี่ยวข้องในบัญชีรายชื่อเช่นเดียวกับระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด ระบบนี้จูงใจให้องค์กรของพรรคมีความรับผิดชอบคัดเลือกผู้สมัครที่สนใจรับฟังและตอบสนองผู้ที่สนับสนุนพวกเขา โดยยกให้เป็นผู้สมัครที่แสดงถึงการได้รับการสนับสนุนของประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งดีกว่าการสร้างกิจกรรมของพรรค ไม่มากก็น้อย

อีกระบบหนึ่งของระบบเลือกตั้งตามความพอใจ คือระบบทางเลือก (Alternative Vote หรือ AV) ซึ่งถือเป็นระบบเสริม (Supplementary Vote) อีกระบบหนึ่ง ระบบทางเลือกนี้ใช้ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนในปี 2000 โดยคณะกรรมการเลือกตั้งเจนกินส์ เห็นว่าควรเป็นแบบผสมระหว่างระบบผู้ได้คะแนนสูงสุด แบบผสมภายใต้ระบบนี้ ในชั้นแรก ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการเลือกตั้งก่อน แต่ผู้ออกเสียงเลือกตั้งจะเรียงลำดับผู้สมัครตามที่ตนพอใจในขณะเลือกตั้งด้วย และถ้าปรากฏว่าในการคัดเลือกรอบแรกได้ผู้สมัครที่ไม่ได้รับความนิยม ก็ให้ยกเลิกรอบแรกนั้น และเลือกรอบที่สองขึ้นมาใหม่ ระบบทางเลือกอย่างเดียวไม่สามารถสร้างสัดส่วนของพรรคต่างๆ ในการเลือกตั้งและไม่สามารถทำให้สภาเกิดขึ้นจากผู้สนับสนุนที่ได้รับการเลือกมาอย่างเป็นธรรม ไม่สามารถยกระดับโอกาสที่ผู้เลือกจะได้ผู้แทนที่ตนเลือกแม้ว่าการออกเสียงจะกระทำในรอบที่สอง ที่สาม หรือรอบอื่นๆ ตามมา ระบบนี้ยังทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเล็กมีความยากลำบากในการคัดเลือกผู้สมัคร ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการเลือกตั้งเจนกินส์ของอังกฤษจึงแนะนำให้เสริมผู้สมัครจากบัญชีแบบเปิด

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ถือเป็นทางเลือกของระบบเลือกตั้งแบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้ง (หรือการเลือกตั้งแบบง่าย) แต่เพียงผู้เดียว ข้อดีก็คือเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิออกเสียงมากขึ้น และเสริมสร้างโอกาสที่จะทำให้สัดส่วนระหว่างพรรคต่างๆ มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงในสภา ทำให้การใช้สิทธิออกเสียงมีเปอร์เซ็นต์สูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นระบบที่มีความสมบูรณ์เช่นเดียวกับระบบผู้ได้รับเลือกตั้งคือผู้ได้คะแนนสูงสุด (First past the Post)