ปฏิรูปการบริหารทีมฟุตบอลเยอรมัน (จบ)

ปฏิรูปการบริหารทีมฟุตบอลเยอรมัน (จบ)

เยอรมันพยายามพัฒนานักฟุตบอลทุกคนให้มีผลงานดีเข้ามาตรฐาน ไม่เน้นพึ่งพาดาวเด่นเพียงไม่กี่คน

มาคุยกันต่อหลังจากที่ดิฉันได้นำเสนอข้อมูลว่าสมาคมฟุตบอลเยอรมัน (German Football Association) มีกลยุทธ์ในการปฏิรูปการบริหารทีมฟุตบอลและนักฟุตบอลอย่างไร จึงทำให้เยอรมนีที่เคยแพ้การแข่งบอลยุโรปที่โปรตุเกสอย่างไม่มีประตูเมื่อปี ค.ศ. 2004 กลายมาผงาดในการแข่งเวิร์ลคัพที่บราซิลเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

อันที่จริงฟอร์มการเล่นของเยอรมันดีมาได้หลายปีแล้ว ทั้งนี้เป็นผลของการสร้างแบบแผนพัฒนาธุรกิจกีฬาฟุตบอลอย่างครบวงจรโดยเริ่มพัฒนาตั้งแต่ฐานรากที่เน้นการลงทุนในทีมฟุตบอลเยาวชนและทีมของสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างพื้นฐานความเป็นมืออาชีพตั้งแต่ยังเด็ก

จากนั้นก็มีกฎระเบียบเรื่องการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเยอรมันที่ไม่อนุญาตให้นักลงทุนกระเป๋าหนักมาลงทุนเป็นเจ้าของสโมสรได้อย่างง่ายดาย เยอรมนีจะให้ประชาชนคนทั่วไปที่รักฟุตบอลและรู้เรื่องฟุตบอลดีเป็นเสียงส่วนใหญ่ในการบริหารสโมสรมากกว่า

ต่างจากการบริหารทีมฟุตบอลในประเทศอังกฤษที่เงินทุนสะพัดมากกว่าเพราะเปิดโอกาสให้อภิมหาเศรษฐีจากชาติต่างๆ เข้ามาซื้อสโมสรและบริหารทีมตามใจชอบ ซึ่งบางครั้งก็เหมาะสมและหลายครั้งไม่เหมาะสม การที่ปล่อยให้นักลงทุนต่างชาติหรือนายทุนในชาติที่มีเงินก็จริงแต่ไม่รู้ลึกเรื่องฟุตบอลมาบริหารสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษมีผลทำให้ผลงานของนักเตะที่อยู่ในทีมชาติรวนไปด้วย นอกจากนี้การที่พรีเมียร์ลีกมีการซื้อ - ขายตัวนักฟุตบอลข้ามชาติมากกว่าทางฝั่งของบุนเดสลีกาที่ใช้นักเตะต่างชาติน้อยกว่าก็มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของทีมชาติโดยรวมอีก ซึ่งทั้งหมดนี้คือการสรุปภาพรวมการบริหารธุรกิจฟุตบอลของเยอรมันที่แตกต่างจากทางอังกฤษ

เรามาวิเคราะห์กันต่อนะคะว่าเยอรมันมีกระบวนการและกลยุทธ์อย่างไรในการพัฒนานักฟุตบอลดาวเด่นได้จำนวนมากคนกว่าทีมยุโรปอื่นๆ ที่มีดาราดังน้อยกว่า อย่างที่ได้คุยกันไว้ในครั้งก่อนว่าเยอรมันจะพยายามพัฒนานักฟุตบอลทุกคนให้มีผลงานดีเข้ามาตรฐาน ไม่เน้นพึ่งพาดาวเด่นเพียงไม่กี่คน ซึ่งถือเป็นแนวทางบริหารคนที่ถูกต้อง เพราะหากดาวเด่นสองสามคนเล่นตัวหรือบาดเจ็บแล้วผลทำให้ทั้งทีมซวนเซ แบบนี้เขาเรียกว่าบริหารจัดการเรื่องคนไม่เป็น

นอกจากการสร้าง “ทีม” ให้เก่ง ไม่เน้นสร้างดาวบางดวงแล้ว ทางเยอรมนียังลงทุนในการสร้างนักเตะเยาวชนอย่างมีระบบแข็งขัน คริสเตียน ไซเฟิร์ท CEO ของสมาคมฟุตบอลเยอรมันเล่าว่าสโมสรต่างๆ ในสมาคมได้ลงทุนกับสถาบันสร้างนักเตะเยาวชน (Youth academies) ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเป็นเงินสูงกว่า 570 ล้านปอนด์ ผลสำเร็จน่ะหรือ? ปรากฏว่าอายุเฉลี่ยนักเตะมืออาชีพของบุนเดสลีกา ณ เวลาปัจจุบันอยู่ที่ 25.2 ปี ต่างจากเมื่อสิบปีที่แล้วที่อยู่ที่ 27.1 ปี แปลว่าเยอรมนีสามารถสร้างนักเตะให้มีความพร้อมเล่นเกมระดับนานาชาติได้รวดเร็วขึ้น และนอกเหนือไปจากการใช้เวลาน้อยลงในการสร้างนักฟุตบอลคุณภาพแล้ว ในเรื่องของสัดส่วนจำนวนนักเตะฝีเท้าดีของเยอรมันในบุนเดสลีกาที่มีคุณภาพพอที่จะได้รับคัดเลือกอยู่ทีมชาติก็มีอัตราที่สูงกว่าทางพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ กล่าวคือทางบุนเดสลีกามีนักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยมถึง 57% ที่สามารถลงเล่นทีมชาติได้ แต่ทางพรีเมียร์ลีกมีนักเตะที่พร้อมแค่ 37% เท่านั้น และนี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ไซเฟิร์ทอธิบายว่าเหตุใดทีมชาติเยอรมันจึงมีผลงานที่ดีเสมอต้นเสมอปลายในการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก

ไซเฟิร์ทยังกล่าวต่อไปด้วยว่า ในฐานะที่สมาคมฟุตบอลมีหน้าที่กำกับดูแลสโมสรต่างๆ “เราต้องทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่นักฟุตบอลทุกคน นั่นก็คือส่งเสริมให้พวกเขาเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถ เล่นได้ดีที่สุด” ซึ่งแนวคิดนี้คือเหตุผลแรกเริ่มของการสร้าง “อคาเดมี่” (Academy) สำหรับบอลเยาวชนเพื่อสร้างนักเตะเชื้อสายเยอรมันในบ้านเกิดของตน (Homegrown players) โดยไม่ต้องพึ่งการอิมพอร์ตนักเตะต่างชาติ โดยการบ่มเพาะนักฟุตบอลในอคาเดมี่ต่างๆ จะเป็นการฝึกเยาวชนทั้งในเรื่องสมรรถนะความแข็งแกร่งของร่างกาย เทคนิคในการเล่น และท้ายสุดที่เป็นจุดเด่นของการสร้างนักเตะเยาวชนทีมอินทรีเหล็กก็คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโค้ชกับนักเตะที่ต้องมีความเคารพและไว้วางใจซึ่งกันและกัน

และแม้ว่าทางเยอรมนีจะยอมรับว่าค่าตัวของนักเตะระดับดาราของพรีเมียร์ลีกในอังกฤษจะดีกว่าทางฝั่งของตน กระนั้นก็ตามทั้งไซเฟิร์ทและดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตนักเตะลิเวอร์พูลสายเลือดเยอรมันต่างกล่าวว่านักเตะที่เก่งที่สุดในโลกน้อยคนเลือกที่จะไปค้าแข้งในอังกฤษ ตัวอย่างยอดนักเตะเหล่านั้น คือ ซลาตัน อิบราฮิมอวิช (นักเตะจุดโทษที่ดีที่สุดในโลกจากสวีเดน) ฟรองค์ ริเบรี (นักเตะสัญชาติฝรั่งเศส) อันเดรส อิเนียสต้า (นักเตะสโมสรบาร์เซโลนา สเปน) และลิโอเนล เมสซี่ (นักเตะดาวยิงของอาร์เจนตินา) ดาวเด่นเหล่านี้ (ยัง) ไม่เข้าไปเล่นในพรีเมียร์ลีก ในขณะที่คนอื่นที่ถูกซื้อตัวไปเล่นพรีเมียร์ลีกแล้วอย่างคริสเตียโน โรนาลโด้ หลุยส์ ซัวเรสและอาร์เยน ร็อบเบน ก็ยังหิ้วสตั๊ดกลับภาคพื้นยุโรปเมื่อทีมดังในยุโรปเรียกตัวไปลงสนาม อีกตัวอย่างของนักเตะที่เลือกสังกัดอยู่ลาลีก้าลีกของสเปนแทนที่จะอยู่พรีเมียร์ลีกก็คือดาวเตะของโคลอมเบีย เจมส์ โรดริเกซ โดยโรดริเกซพูดถึงการเล่นบอลในอังกฤษว่า มัน “Too physical” (หนักไปหน่อยในแง่ของการใช้สมรรถนะทางร่างกายและความเร็ว) ซึ่งอาจตีความ (ได้หรือเปล่า?) ว่าโรดริเกซนิยมเล่นบอลแบบใช้ลีลาเทคนิคมากกว่า?

ทั้งนี้ฮามันน์สรุปว่า “นักเตะเยี่ยมๆ ไม่เล่นในพรีเมียร์ลีกสักเท่าไรแล้ว ซึ่งแน่ละ (พรีเมียร์ลีก) ยังมีนักเตะเก่งๆ อยู่ แต่ที่สุดยอดจริงๆ ไปเล่นประเทศอื่น”

เราก็ฟังหูไว้หูแล้วดู (สังเกต) เอาเองบ้าง เพราะฮามันน์เองก็คืออดีตนักเตะเยอรมันที่ไปเล่นให้กับสโมสรลิเวอร์พูล เวลานี้เกษียณแล้วเลยอาจจะมีเลือดรักชาติมากขึ้น จึงเชียร์ทางฝั่งเยอรมันมากกว่า อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบผลงานของทีมเยอรมันในช่วงหลายปีที่ผ่านมากับทีมอังกฤษ ผลงานย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดว่าใครบริหารธุรกิจฟุตบอลและบริหารนักเตะได้ดีกว่ากัน