หลวงจีนวัดเส้าหลินบุกไทย

นานทีปีหนถึงจะมีหลวงจีนจาก "วัดเส้าหลิน" เดินทางเยือนประเทศไทย แม้ว่าคนไทยจะรู้จักวัดเส้าหลิน
ผ่านภาพยนตร์จีนกำลังภายในมาเนิ่นนานก็ตาม
O เมื่อวันก่อนที่สโมสรกองทัพบก สี่เสาเทเวศร์ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ. ซึ่งวันนี้สวมหมวกใบใหม่เป็นนายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมไทย-จีน พร้อมด้วย นายเฉิ่น เจี่ยน ทูตวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย รวมทั้งสมาคมจีนและสมาคมศิลปะการป้องกันตัวต่างๆ ได้จับมือกันเลี้ยงรับรองพระเถระ "ซื่อ หย่งซิน" เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน และพระลูกวัดจำนวน 40 รูป เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพุทธศาสนิกชนไทย-จีน
O บรรยากาศภายในงานคึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อคณะจากสมาคมศิลปะป้องกันตัวหลายแห่ง เช่น ศิลปะมวยไทย ทรงชัย รัตนสุบรรณ ฐ ชมรมศิลปะป้องกันตัวสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และคณะกังฟูเส้าหลินไทยแลนด์ ขึ้นเวทีโชว์ความสามารถ โดยเฉพาะหลวงจีนจากวัดเส้าหลิน ได้ร่วมแสดงเพลงหมัดมวยด้วยอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
O พระเถระ "ซื่อ หย่งซิน" กล่าวถึงศิลปะการป้องกันแบบ "วูซู" หรือ "กังฟูแห่งวัดเส้าหลิน" ว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกฝนปฏิบัติตนของพระให้มีร่างกายแข็งแรง และยังเป็นการฝึกฝนสมาธิ โดยทางวัดยังคงรักษารูปแบบการฝึกวูซูนี้ไว้ตามแบบฉบับดั้งเดิม เพื่อให้ร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันตามแนวทางของพุทธศาสนา
O การเดินทางมาไทยเที่ยวนี้ของเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน มีจุดประสงค์หลัก คือ การร่วมเป็นประธานระหว่างวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร กับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ในฐานะรองประธานสมาคมพุทธศาสนาแห่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมเจ้าอาวาสวัดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนอีก 12 แห่ง ในการจัดสร้างพระพุทธรูปจำนวน 7 องค์ ได้แก่ พระศากยมุนีพุทธเจ้า-พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า-พระอมิตาภพุทธเจ้า-พระอานนท์-พระกัสสปะ-ตั๊กม้อ-เทพผู้พิทักษ์ เพื่อไปประดิษฐานที่วัดเส้าหลินเหนือ เมืองเทียนจีน วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งบนภูเขาผานซาน อายุกว่า 1,500 ปี
O พระพุทธรูปทั้ง 7 องค์นับเป็นพระที่ได้รับการเคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน โดยพิธีเททองหล่อพระประธานวัดเส้าหลินเหนือ จัดขึ้นที่วัดวชิรธรรมาราม อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และรักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นพิธีปลุกเสกครั้งใหญ่ที่สุดของทั้ง 2 ประเทศ
O ปิดท้ายด้วยเรื่องการเมือง ว่าด้วยการประชุมใหญ่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อส่งมอบประเด็นและข้อเสนอแนะสำหรับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่าง รธน.)
O แม้การประชุม 3 วันได้จบลงไปแล้ว แต่ก็ปรากฏรอยร้าวเล็กๆ ระหว่าง สปช.บางปีก กับ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญบางส่วน โดยเฉพาะจากปัญหาความเห็นไม่ลงรอยกันในประเด็นการปฏิรูปการเมือง ว่าด้วยการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตรง
O ข้อสังเกตที่ว่านี้ไม่ถือว่าเกินเลยความจริง โดยเฉพาะหากพิจารณาจากคำอภิปรายส่งท้ายของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่บอกตอนหนึ่งช่วงกลางดึกคืนวันที่ 17 ธ.ค.ว่า "ขอเรียกร้องไปยัง สปช.ว่าอย่าได้กล่าวร้ายกับการทำงานของกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญและทำให้เกิดความเสียหาย"
O บวรศักดิ์ บอกต่อว่า ประเด็นการเมืองถือเป็นหัวรถจักรของทุกเรื่อง ถ้าการเมืองผิด การตัดสินใจแทนบ้านเมืองก็จะผิด ดังนั้นการออกแบบระบบการเมืองจะทำเล่นๆ ไม่ได้ ต้องดูสภาพความเป็นจริงและความขัดแย้ง
O ข้อเสนอของ กมธ.ปฏิรูปการเมือง ที่ให้เลือกตั้งนายกฯ และ ครม.โดยตรง ทั้งให้มีอำนาจเสนอกฎหมายและงบประมาณ นักวิชาการเรียกระบบดังกล่าวว่า "เป็นระบบรัฐสภาที่ทำให้เป็นระบบประธานาธิบดี" ส่วนตัวขอเรียกว่า "เป็นระบบรัฐสภาที่ทำให้เป็นระบบซุปเปอร์ประธานาธิบดี"
O บวรศักดิ์ บอกอีกว่า ระบบนี้มีจุดเสี่ยงอยู่หลายประเด็น ได้แก่ 1.เพิ่มความขัดแย้งในสังคมไทย โดยมีข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญระบบเลือกตั้งระบุว่า บทบาทสำคัญของการเลือกตั้งคือเป็นส่วนของการจัดการความขัดแย้ง ดังนั้นหากระบบเลือกตั้งขาดความเที่ยงธรรม และกรอบการเมืองไม่เอื้อให้ฝ่ายค้านรู้สึกว่าพรรคตนมีโอกาสชนะเลือกตั้งรอบหน้า ผู้แพ้อาจรู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติการนอกระบบ อาจใช้วิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ใช้การเผชิญหน้าและใช้ความรุนแรงได้
O 2.การซื้อเสียงจะรุนแรงมากขึ้น เพราะหากให้อำนาจผู้ชนะแบบกินรวบ ทำให้มีผู้ออกเงินและลงทุนมหาศาลเพื่อซื้อเสียงทั้ง ส.ส.เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด ขณะที่บัญชีรายชื่อของ ครม.อาจเป็นบุคคลที่ออกเงินมากที่สุดแทนเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ
O 3.มีนายกฯและครม.ที่เข้มแข็งเกินไป ไม่สามารถปลดออก หรือ ปรับครม.ได้ เพราะมาจากการเลือกตั้งตรงของประชาชน และเมื่อมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ทำให้ฝ่ายบริหารแทรกแซงองค์กรอิสระ สื่อมวลชน จนเป็นที่มาของการชุมนุมไล่รัฐบาลได้เหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว
O 4.เป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง เพราะ ครม.ที่มาจากการเลือกตั้งจะมีอำนาจมากกว่าประธานาธิบดี เนื่องจากเสนอกฎหมายและงบประมาณได้ หากเกิดภาวะอำนาจล้นฟ้าที่ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติเป็นพรรคเดียวกัน จะไม่เกิดการตรวจสอบร่างกฎหมาย, งบประมาณไร้การควบคุมกัน แต่หากมีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ อาจทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เลย
O 5.ระบบตรวจสอบตามข้อเสนอของ กมธ.ปฏิรูปการเมือง ไม่เพียงพอต่อการจำกัดอำนาจที่มหาศาลของรัฐบาลได้ แม้จะเสนอให้มีคณะกมธ.ตรวจสอบการประพฤติมิชอบในสภา แต่ที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ข้อเสนอให้ดำเนินคดีอาญาที่ไม่ผ่าน ป.ป.ช. แต่ให้กมธ.ฝ่ายการเมืองร่วมกับอัยการอิสระฟ้องคดีโดยตรง อาจทำให้การฟ้องร้องไม่เกิดผล







