ดิเอทัสกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (1)

ดิเอทัสกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (1)

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์อีกคดีหนึ่งที่สำคัญ

ท่านผู้อ่านคงได้ติดตามอ่านข่าวนี้กันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย กรณีโรงแรมดิเอทัส แบงค์คอค ที่สร้างขึ้นโดยขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคารในเรื่องของถนนซอยที่มีความกว้างไม่ถึงเกณฑ์ที่จะก่อสร้างอาคารสูงขนาด 18 ชั้น หรือ 24 ชั้นได้ จนในที่สุดกว่า 6 ปี ที่มีการฟ้องร้องกันมาตั้งแต่ศาลปกครองชั้นต้นในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งศาลปกครองกลางมีความเห็นว่า โรงแรมดิเอทัส แบงค์คอคก่อสร้างโดยขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร จนมาถึงศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น

วันนี้เรามาศึกษากันค่ะว่าประเด็นหลัก ๆ ของปัญหาคืออะไร ความผิดพลาดเกิดขึ้นจากใคร และใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

จากการศึกษาคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีโรงแรมดิเอทัส แบงค์คอคนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีคือ ผู้อำนวยการเขตปทุมวันและผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้ร้องสอด (พูดง่าย ๆ คือ ผู้พัฒนาโครงการอาคารสูงทั้งสองหลัง) คือบริษัท ลาภประทาน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างอาคาร 18 ชั้น และบริษัท ทับทิมทร จำกัด ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างอาคาร 24 ชั้น โดยผู้ฟ้องเป็นผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด และบ้านเรือนในซอยร่วมฤดี

ข้อเท็จจริงในกรณีพิพาทกล่าวโดยสรุปคือ ก่อนเริ่มการก่อสร้าง บริษัท ลาภประทาน จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ ได้หารือไปยังสำนักงานเขตปทุมวัน เพื่อขอให้รับรองความกว้างของถนนในซอยร่วมฤดี และก็ได้รับการยืนยันจากสำนักงานเขตปทุมวันว่าเขตถนนซอยร่วมฤดีมีความกว้าง 10 เมตร โดยใช้หลักฐานเป็นทะเบียนข้อมูลถนน ตรอก ซอย ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งหมายความว่า สามารถก่อสร้างอาคารสูงในระดับ 18 ชั้นได้ โดยบริษัท ทับทิมทร จำกัดได้ใช้หนังสือตอบข้อหารือของสำนักงานเขตปทุมวันดังกล่าวในการก่อสร้างอาคารสูง 24 ชั้น เช่นกัน เมื่อมีหนังสือยืนยันดังกล่าว ผู้พัฒนาโครงการทั้งสองรายก็ได้ยื่นคำขอแจ้งการก่อสร้างอาคารตามมาตรา 39 ทวิ ของกฎหมายควบคุมอาคาร (แจ้งการก่อสร้างโดยไม่ต้องรับใบอนุญาตก่อสร้าง)

เท่าที่ผู้เขียนเข้าใจ กรมโยธาก็ได้มีหนังสือทักท้วงไปยังสำนักงานเขตปทุมวันให้ตรวจสอบ และให้ใช้อำนาจตามกฎหมายควบคุมอาคารให้ระงับการก่อสร้างแล้ว แต่สำนักงานเขตปทุมวันก็ไม่ได้ฟังคำทักท้วง ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อไปก็คือ ศาลปกครองชั้นต้นให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการก่อสร้างอาคารดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการก่อสร้างจนกระทั่งการพัฒนาโครงการเสร็จสมบูรณ์ในระหว่างศาลพิจารณา ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ ความเสียหายที่ผู้พัฒนาโครงการได้รับน่าจะมากกว่า เมื่อเทียบกับหากได้มีการระงับการก่อสร้างมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการเริ่มพัฒนาโครงการ

ทีนี้ เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า การก่อสร้างอาคารทั้ง 2 หลังนั้น เป็นการก่อสร้างที่ขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร เนื่องจากถนนในซอยร่วมฤดีมีความกว้างของถนนไม่ถึง 10 เมตรตลอดทั้งซอยตามที่กฎหมายควบคุมอาคารกำหนด โดยพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจตามมาตรา 40 ถึงมาตรา 43 ของกฎหมายควบคุมอาคารดำเนินการกับผู้พัฒนาโครงการทั้ง 2 รายภายใน 60 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด

ผู้เขียนตั้งเป็นข้อสังเกตว่า ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีคำพิพากษาให้รื้อถอน (ไม่เหมือนคดีอื่น ๆ เช่น คดีการทำเหมืองแร่ให้เพิกถอนประทานบัตร เป็นต้น) แต่ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจตามมาตรา 40 ถึงมาตรา 43 ของกฎหมายควบคุมอาคาร (ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในฉบับหน้าว่ามาตรา 40 ถึงมาตรา 43 ของกฎหมายควบคุมอาคารคืออะไร) ที่มาน่าจะมาจากคำขอท้ายฟ้องของผู้ฟ้องคดีในศาลปกครองชั้นต้น โดยผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำพิพากษาสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจตามมาตรา 40 ถึงมาตรา 43 ของกฎหมายควบคุมอาคารเท่านั้น แต่ไม่ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้รื้อถอน

ซึ่งจากประเด็นนี้ จึงเป็นที่มาว่าเรื่องอาจไม่จบง่าย ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะในกระบวนการในการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีนั้น กฎหมายควบคุมอาคารได้เปิดช่องให้ผู้ได้รับคำสั่งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีสิทธิที่จะขออุทธรณ์คำสั่งได้ตามมาตรา 52 ของกฎหมายควบคุมอาคารได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับคำสั่งจากผู้ถูกฟ้องคดี โดยในกรณีที่ผู้พัฒนาโครงการ (ผู้อุทธรณ์) ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ก็มีสิทธิที่จะเสนอคดีต่อศาลภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์

มาถึงตรงจุดนี้ ผู้เขียนตั้งเป็นข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นตามมาตรา 52 ของกฎหมายควบคุมอาคารว่า ศาลจะรับพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้พัฒนาโครงการหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีค่ะว่า คำสั่งดังกล่าวถือเป็นประเด็นพิจารณาใหม่ที่ไม่ซ้ำซ้อนกับประเด็นที่ศาลปกครองได้แสวงหาข้อเท็จจริงและเป็นที่สุดแล้วหรือไม่ (กล่าวคือ เรื่องความกว้างของถนน) ดังนั้น หากลักษณะของคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีออกมาในลักษณะที่มีช่องว่างให้ผู้พัฒนาโครงการสามารถฟ้องศาลเป็นคดีใหม่ได้และศาลรับพิจารณา ผู้ถูกฟ้องคดีก็อาจยังไม่สามารถใช้อำนาจของตนตามมาตรา 43 ของกฎหมายควบคุมอาคารได้ กล่าวคือ ยังไม่สามารถเข้าไปรื้อถอนได้ด้วยตนเองหากผู้พัฒนาโครงการไม่เห็นด้วยกับคำสั่งค่ะ

ผู้เขียนเห็นว่า มหากาพย์เรื่องนี้น่าจะยังไม่จบลงง่าย ๆ เอาเป็นว่า ฉบับหน้าเรามาศึกษาเพิ่มเติมกันค่ะว่า การใช้อำนาจตามมาตรา 40 ถึงมาตรา 43 ของกฎหมายควบคุมอาคาร คืออะไร และผู้พัฒนาโครงการจะสามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากหน่วยงานของรัฐโดยอาศัยกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ได้มากน้อยเพียงใด แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ

*****************************

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนอันเป็นความเห็นในทางวิชาการ และไม่ใช่ความเห็นของบริษัท อัลเลน แอนด์ โอเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผู้เขียนทำงานอยู่