'ราชาสถาน' วันนี้

ก่อนจบทัวร์อินเดียหนึ่งปีกลับเมืองไทย ได้มีโอกาสท่องเที่ยวในรัฐราชาสถาน รัฐทางด้านตะวันตกสุดของอินเดีย
ที่มีทั้งทะเลทรายและชายแดนปากีสถานเป็นข้อจำกัดของแคว้น สิ่งที่ได้เห็นไม่เพียงแต่คุณค่าของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกลุ่มเจ้าราชบุตร แต่ได้เห็นการพยายามสร้างโอกาสของรับจากข้อจำกัดให้เป็นสิ่งเพิ่มคุณค่าจนกลายเป็นจุดเด่นของรัฐได้ ทำให้รัฐนี้มีความเจริญไม่น้อยหน้ารัฐทางใต้ที่เป็นอู่อุตสาหกรรมของประเทศ
สำหรับคนไทย รัฐราชาสถานไม่ใช่สิ่งที่ไม่คุ้นเคย ต่างจากรัฐทางใต้หรือรัฐแถวทะเลอารเบีย นั่นเพราะราชาสถานส่งเสริมการท่องเที่ยวมาก คนไทยชื่อรู้จักชัยปุระ อุทัยปุระ และโยธปุระ ในระดับที่ไม่น้อยไปกว่าอัคราอันเป็นที่ตั้งของทัชมาฮาล หรือที่ดินแดนแคชเมียร์ มีทัวร์จากไทยมาลงพอสมควร โดยเฉพาะในจุดขายที่เป็นสามเหลี่ยมสามเมือง เดลี-อัครา-ชัยปุระ ด้วยความที่บรรดาแคว้นของเจ้าราชบุตรเหล่านี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเดลีและราชวงศ์โมกุล ทำให้สินค้าที่ระลึกที่วางขายกันอยู่ในเดลีและอัครามีศิลปะของราชาสถานเพียบจนชินตา และมีส่วนทำให้โลกทัศน์ของชาวต่างชาติเข้าใจว่าศิลปะแบบราชาสถานนั้นคือลวดลายหลักของฮินดูที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก ความชินนี้ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามายังรัฐนี้มากขึ้น เหมือนกับคนที่ชินว่าจีนต้องมีลักษณะแบบนั้น หรือญี่ปุ่นต้องมีลักษณะแบบนี้ นั่นเอง
ในความเป็นจริง ราชาสถาน มีความแตกต่างจากภูมิภาคอื่นของอินเดียอยู่ไม่น้อย และการเดินทางทั่วทั้งรัฐนั้นอาจต้องใช้พาหนะหลายหลาก เช่น ต่อเครื่องบินมาลง Jaipur นั่งรถไฟไป Jodhpur หรือ ขี่อูฐชมทะเลทรายที่ Jaisalmer แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่รัฐที่มีพื้นที่ราวสองในสามของประเทศไทยแสดงให้ การที่ในรัฐเดียว มีศูนย์กลางอำนาจถึงสามแห่งซึ่งต่างก็เคยเป็นระดับมหาราชาครองอธิปไตยในแว่นแคว้นของตนมาแล้ว คือ Jaipur, Jodhpur และ Udaipur ทำให้การแข่งขันสร้างจุดขายเป็นไปอย่างเข้มข้น ไม่เพียงแต่ด้านการขายประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ลายตาด้วยพระราชวัง คฤหาสน์และป้อมปราการ ที่ล้วนนำระบบการจัดการพิพิธภัณฑ์แบบยุโรปมาใช้ได้ผลดีกว่าการจัดการของกรมโบราณคดีอินเดียในรัฐอื่น ๆ ที่ยังเป็นการจัดการแบบระบบราชการที่เชยกว่า แต่ในด้านการพัฒนาเมืองให้เป็นที่อยู่อาศัยที่เหมาะกับคนที่ถือตัวว่าเป็นผู้ดีและชาตินิยมอย่างชาวราชบุตร ก็ทำได้ดีด้วย
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมหาราชาของแต่ละแคว้น (บางแคว้นใช้ชื่อว่ามหารานา หรือ มหาราวัล) ล้วนแต่ร่ำรวยมากๆ และมีการแก้ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ดีมาตลอด ต่างจากแคว้นอื่นๆ ที่ในอดีตถึงจะรวยกว่าแต่โชคร้ายด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น บางแคว้นแถบมัธยประเทศดันเป็นปรปักษ์ต่ออังกฤษ เจ้าอาณานิคม เลยถูกยึดทรัพย์ในช่วงกบฏ Sepoy 1857 เสียเรียบ (กบฏนี้อังกฤษมองว่าเป็นการต่อต้านอำนาจจักรวรรดิอังกฤษธรรมดา แต่อินเดียสมัยนี้ยกให้เป็นการต่อสู้เรียกร้องเอกราชครั้งแรกของประเทศ) หรือดันอยู่ในจุดที่ไม่ดี เช่นเจ้าแคว้นเป็นมุสลิมแต่ดันไปอยู่ในวงล้อมของฮินดู ทำให้หลังได้รับเอกราชต้องระเห็จที่สมบัติ หรือจัดการกับระบบภาษีไม่ดีทำให้ต้องขายสมบัติให้ราชการภายหลังอินเดียเป็นสาธารณรัฐ
แต่ที่ราชาสถาน แคว้นใหญ่ ๆ เก็บสมบัติตนเองไว้ได้ ตั้งแต่การเป็นมิตรกับทั้งโมกุลและอังกฤษ แม้สมัยหลังก็ยังแปรเปลี่ยนอดีตที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์เป็นทรัพย์สินเพื่อการท่องเที่ยว เช่น ลูกหลานมหาราชาแห่งอุทัยปุระเปลี่ยนพระราชวังกลางน้ำสองแห่งเป็นโรงแรมหรู ขณะที่ยอมปล่อยพระราชวังเปล่าๆ บนเขาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศวิทยา ส่วนของในวังก็ขนมาเติมในพระราชวังกลางเมือง ที่ดำเนินการตลาดอย่างยอดเยี่ยม เช่น การมีจัดงานศิลปะ แต่งงานหรือการแสดงอยู่ทุกวัน แม้แต่คอลเลคชั่นรถยนต์วินเทจของมหาราชาก็ยังเก็บเงินค่าเข้าชมได้ เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในเมืองทำให้เมืองเจริญขึ้นมาก
ในเมืองที่เล็กกว่า แต่มีอดีตที่รุ่มรวยไม่น้อยก็พยายามสร้างจุดขายของเมือง เช่น Bikaner ที่ไกลไปหน่อย แต่พระราชวังก็หรูหราหรือ Ranakpur ที่มีวัดศาสนาเชนที่สวยสุดยอดแกะด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ทำให้เมืองเล็กอยู่รอดได้ ที่น่าสนใจที่สุดคือนคร Jaisalmer ที่อยู่บนทะเลทรายเลยทีเดียว แม้แต่น้ำดื่มยังต้องนำเข้าจากที่อื่น ก็ยังเอาตัวรอดได้จากการท่องเที่ยวที่สำคัญในเมืองป้อมปราการของตนที่มีผู้อยู่อาศัยถึง 20,000 คน และในแคมป์กลางเนินทรายที่ให้นักท่องเที่ยวไปขี่อูฐ นอนเต็นท์ ดูดาว การท่องเที่ยวประเภทนี้เป็นที่นิยมมากสำหรับชาวต่างชาติที่ได้เห็นป้อมปราการที่ยังมีชีวิตไม่แห้งแล้ง และได้เที่ยวซาฟารีทะเลทรายในแบบที่ต่างออกไปจากตะวันออกกลาง แน่นอนว่าชาวป้อมและชาวแคมป์ก็ย่อมแปรสภาพเป็นบุคลากรในแวดวงรองรับการท่องเที่ยวด้วย
ในด้านการปรับสภาพเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของตนยังมีอีก อาทิเช่นไจซัลแมร์และโยธปุระ ที่ติดกันเป็นต้นแบบของการใช้พลังลมจากทะเลทรายเพื่อผลิตพลังงาน จึงมีกังหันลมอยู่ทั่วไป ขณะที่พื้นดินหินแกร่งก็กลายเป็นเหมืองส่งออกหินอันเป็นสินค้าสำคัญของดินแดนแถบนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าขณะที่คนชื่นชมชนเชื้อสายราชบุตรว่าห้าวหาญชาญณรงค์และรักเกียรติ แต่ที่น่าจะมีมากกว่าก็คือความชาญฉลาดในการทำธุรกิจและการเมืองในทุกยุคสมัย




