3 เรื่องที่ควรรู้กับ Shanghai-HK "Stock Connect"

(Shanghai-Hong Kong ‘Stock Connect’) หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า 沪港通 ซึ่งตลาดดังกล่าวมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นอังกฤษอยู่พอสมควร สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นกับตลาดดังกล่าว ผมคิดว่ามี 3 เรื่องที่ควรจะรับทราบไว้ เพื่อจะได้สามารถติดตามตลาดหุ้นนี้ได้ออกรสชาติ

หนึ่ง ‘กลไกการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นทั้งสอง' ดังแสดงไว้ดังรูปที่ 1

การซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นทั้งสอง สามารถทำได้ใน 2 ทิศทาง โดยหากนักลงทุนฮ่องกงไปซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ เรียกว่า ‘Northbound’ ส่วนในกรณีที่นักลงทุนจีน จะมาซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง เรียกว่า ‘Southbound’ โดยในกรณีแรก นักลงทุนฮ่องกงหรือต่างชาติที่มาลงทุนตลาดหุ้นฮ่องกงต้องการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ สามารถทำได้โดยการไปติดต่อส่งคำสั่งซื้อขายกับบุคคลซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น บริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน ที่ได้รับใบอนุญาตจากทางการของฮ่องกง ที่เรียกว่า Exchange Participants (EPs) จากนั้น EPs จะส่งคำสั่งไปที่สาขาย่อยของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงที่ตั้งอยู่ในเมืองจีน เพื่อนำคำสั่งไปทำการเทรดที่ตลาดหลักทรัพย์ของเซี่ยงไฮ้อีกต่อหนึ่ง ส่วนในกรณี ‘Southbound’ นั้น นักลงทุนจีนจะติดต่อซื้อขายกับโบรกเกอร์ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ เพื่อส่งคำสั่งดังกล่าวไปยังสาขาย่อยของตลาดหลักทรัพย์จีนที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง เพื่อนำคำสั่งไปทำการเทรดที่ตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกงอีกต่อหนึ่ง

โดยมูลค่าตลาดที่ทางการอนุญาตให้ northbound สามารถเทรดได้ คือไม่เกิน 13,000 ล้านหยวนต่อวัน โดยมีหุ้นให้เทรดเกือบ 600 ตัว ส่วน southbound สามารถเทรดได้ คือไม่เกิน 10,500 ล้านหยวนต่อวัน โดยมีหุ้นให้เทรดกว่าพันตัว โดยลิมิตรวมของตลาดทั้งสองต้องไม่เกิน 3 แสนล้านหยวนและ 2.5 แสนล้านหยวนตามลำดับ

สอง ‘เหตุผลที่ตลาดคู่หูคู่นี้บังเกิดขึ้น’ ต้องถือว่าเป็น ‘win-win deal’ ให้กับทั้งตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และฮ่องกง โดยตลาดหุ้นฮ่องกงนั้น ที่ผ่านมานั้น มีหุ้น H-Share หรือหุ้นที่เป็นบริษัทของจีนที่ซื้อขายกันในตลาดฮ่องกงเป็นพระเอก คิดเป็นกว่าสองในสามของมูลค่ารวมที่ซื้อขายกันในตลาดหุ้นนี้ ดังนั้นความต้องการของนักลงทุนในตลาดฮ่องกงต่อตลาดจีน จึงถือว่ามีอยู่สูงพอควร ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ให้กับลูกค้าฮ่องกงในดีลนี้ ในทางกลับกัน บริษัทในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้จากตลาดหุ้นฮ่องกง ที่ ณ วันนี้ ถือว่ามีมาตรฐานในด้านต่างๆ สูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ทางธุรกิจในตลาดต่างชาติ ความหลากหลายทางธุรกิจของบริษัท หรือจะเป็นหลักการธรรมาภิบาลที่เรียนรู้จากโลกตะวันตกมาก่อน ที่สำคัญ นับเป็นด่านแรกในการเปิดตลาดทุนของจีนให้กับต่างชาติแบบมีการควบคุมการเก็งกำไรเป็นอย่างดี และเป็นกุญแจในการทำให้เงินหยวนกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลกควบคู่กับเงินดอลลาร์ในอนาคต

ท้ายสุด น่าสังเกตว่า ทางการจีนเลือกตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เพียงตลาดเดียว โดยยังไม่รวมตลาดหุ้นเซินเจิ้นที่มีขนาดคิดเป็นร้อยละ 40 ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นจีนในการเข้าร่วมเทรดกับทางฮ่องกง น่าจะด้วยเหตุผล 2 ประการได้แก่ หนึ่ง รัฐบาลจีนอยากจะค่อยๆ ทำการเปิดตลาดทุนให้กับต่างชาติโดยอยากจะให้เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่ของจีน เนื่องจากได้สร้างโครงสร้างต่างๆ ไว้อย่างพร้อมสรรพมาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงอยากจะลองให้ทางเซี่ยงไฮ้ได้เรียนรู้การเปิดตลาดกับประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมจำกัดไปพลางก่อน

สอง บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ มีบริษัทที่แปรรูปจากรัฐวิสาหกิจจีนอยู่เยอะพอสมควร ซึ่งตรงนี้ น่าจะนับเป็นข้อคิดที่ทางการจีนคำนึงว่า ถ้าจะเปิดให้กับชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีน ต้องเปิดให้ทีละนิดและที่สำคัญ ต่างชาติต้องไม่สามารถเข้ามามีอิทธิพลและคลอบงำกิจการในประเทศจีนได้ ซึ่งรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปมานั้น ยังมีรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือหุ้นใหญ่อยู่ จึงทำให้ทางการจีนสามารถเบาใจได้ไปเปลาะหนึ่ง และที่สำคัญ บริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคต ทางการจีนคงอยากจะปกป้องจากการเข้าถือหุ้นของต่างชาติไปสักพักใหญ่ก่อน โดยจะเห็นได้ว่าจากรูปที่ 2 ค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นเซินเจิ้นสูงกว่าของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และ MSCI Emerging Markets อยู่พอสมควร

โดยสรุป การเริ่มต้นของ Shanghai-HK ‘Stock Connect’ นับเป็นก้าวเล็กๆ ของจีน ที่จะน่าจะเป็นก้าวสำคัญของยุคที่จีนกำลังจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของเศรษฐกิจโลกในเร็ววันครับ

---------------------

หมายเหตุ : ผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรมเรื่อง “การลงทุนด้วยข้อมูลเชิงมหภาค (Macro Investing) ระดับ Intermediate โฟกัสที่มุมมองหุ้นต่างประเทศปี 2015 แบบเจาะลึก” ในวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2557 ติดตามรายละเอียดได้ที่ bonthr.blogspot.com และ LINE ID: MacroView ครับ