ข้อพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายค้ำประกันใหม่

ในบทความครั้งที่แล้ว ผู้เขียนได้อธิบายภาพรวมของการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการค้ำประกันและการจำนอง
ซึ่งน่าจะพอทำให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของหลักการการค้ำประกันและการจำนองในประเทศไทย เนื่องจากการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายประการซึ่งผู้เขียนไม่สามารถกล่าวถึงทั้งหมดได้ในบทความเดียว ผู้เขียนจึงจะขอแยกอธิบายเป็นสองตอน โดยตอนแรก คือบทความครั้งนี้ จะกล่าวถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายค้ำประกัน และตอนที่สอง จะกล่าวถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายจำนอง สำหรับในส่วนของการแก้ไขกฎหมายค้ำประกันผู้เขียนมีข้อสังเกตดังนี้
ในการแก้ไขกฎหมายค้ำประกันครั้งนี้ มีข้อกำหนดหลายข้อที่กฎหมายห้ามมิให้เจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันตกลงกำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันในบางเรื่อง แตกต่างไปจากกฎหมาย (ในที่นี้คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ป.พ.พ.) มิเช่นนั้นจะตกเป็นโมฆะ อ่านเผินๆ ข้อนี้ก็ดูเหมือนกับว่าตรงตัวและเข้าใจได้ว่า กฎหมายกำหนดไว้อย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น จะไปตกลงกันเป็นอย่างอื่นไม่ได้
แต่ในทางปฏิบัติในการร่างหนังสือค้ำประกันนั้นอาจมีการใช้ถ้อยคำที่ไม่ได้ตรงกับที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็อาจจะมีปัญหาว่าการใช้ถ้อยคำดังกล่าวจะถือว่าเป็นการตกลง แตกต่าง ไปจากที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ แล้วอย่างไรถึงจะถือว่า แตกต่างหรือ ไม่แตกต่างเช่น ในกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าการค้ำประกันจะมีได้แต่เฉพาะหนี้ที่สมบูรณ์ หากในหนังสือค้ำประกันปรากฏข้อตกลงว่า “ผู้ค้ำประกันตกลงรับผิดชดใช้เงินกู้ที่ลูกหนี้มีอยู่ต่อเจ้าหนี้ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าในกรณีที่ภายหลังจะปรากฏว่าหนี้ดังกล่าวจะตกเป็นโมฆะ ไม่สมบูรณ์ หรือใช้บังคับไม่ได้ก็ตาม” ข้อตกลงอย่างนี้ใช้บังคับได้หรือไม่ หากข้อเท็จจริงภายหลังปรากฏว่าหนี้เงินกู้ของลูกหนี้ตกเป็นโมฆะเนื่องจากลูกหนี้ไม่มีอำนาจในการกู้ยืมเงินแล้วเจ้าหนี้จะบังคับตามข้อตกลงดังกล่าวในหนังสือค้ำประกันได้หรือไม่ กรณีนี้ ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะใช้บังคับไม่ได้ เพราะเป็นข้อตกลงที่แตกต่างชัดเจนกับสิ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ถ้าเปลี่ยนข้อตกลงดังกล่าวเป็น “ผู้ค้ำประกันตกลงรับผิดชดใช้เงินกู้ที่ลูกหนี้มีอยู่ต่อเจ้าหนี้ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตามโดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าหนี้จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญาเงินกู้ได้หรือไม่” จะถือว่าเป็นข้อตกลงที่แตกต่างไปจากที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
อีกกรณีหนึ่ง กฎหมายกำหนดว่าผู้ค้ำประกันสามารถยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ ดังนั้นถ้าในหนังสือค้ำประกันมีข้อตกลงว่า “ผู้ค้ำประกันตกลงจะสละสิทธิ์ที่จะยกข้อต่อสู้ใดๆ ที่ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้” ข้อตกลงในลักษณะนี้ก็อาจตกเป็นโมฆะ เพราะชัดเจนว่าเป็นข้อตกลงที่แตกต่างอย่างตรงกันข้ามกับที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ถ้าเป็นกรณีนำข้อตกลงตามตัวอย่างแรกมาบังคับใช้ จะถือเป็นการที่ผู้ค้ำประกันตกลงสละสิทธิ์ข้อต่อสู้ของลูกหนี้หรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนที่กำหนดว่า “...ทั้งนี้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตามโดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าหนี้จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญาเงินกู้ได้หรือไม่” จะตีความได้หรือไม่ว่าเป็นการที่ผู้ค้ำสละสิทธิ์ข้อต่อสู้ของลูกหนี้ ในประเด็นนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่น่าถือว่าเป็นการตกลงที่แตกต่างไปจากที่กฎหมายกำหนดไว้โดยตรง แต่จะบังคับใช้ข้อตกลงดังกล่าวได้เพียงใดนั้นอาจจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีไปว่า มีข้อเท็จจริงปรากฏหรือไม่ว่าเจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ไม่ได้เพราะเหตุใด หากเป็นกรณีทั่วไปที่เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ได้ แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ เช่น เจ้าหนี้ตามหาตัวลูกหนี้ไม่เจอ หรือ ลูกหนี้มีทรัพย์สินไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ ข้อตกลงดังกล่าวก็คงใช้บังคับได้ แต่หากการที่เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ได้เพราะว่าหนี้ดังกล่าวขาดอายุความ ผู้ค้ำประกันเองก็คงมีสิทธิยกเหตุแห่งการขาดอายุความนั้นขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ ตามที่กฎหมายให้สิทธิไว้
ประเด็นที่กฎหมายกำหนดห้ามไม่ได้เจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันตกลงแตกต่างเป็นอย่างอื่น นอกจากสองกรณีที่ยกตัวอย่างไปแล้วข้างต้น กฎหมายก็จะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับรายละเอียดที่ต้องมีให้ครบในหนังสือค้ำประกัน (มาตรา 681 วรรคสอง) ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับ (มาตรา 698) และผู้ค้ำประกันมีสิทธิในการบอกเลิกการค้ำประกันสำหรับหนี้ต่อเนื่องไม่มีจำกัดระยะเวลา (มาตรา 699)
กล่าวโดยสรุป เนื่องจากกฎหมายค้ำประกันที่แก้ไขเป็นหลักการใหม่ จึงยังไม่มีแนวคำวินิจฉัยของศาลที่จะนำมาใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาว่า การตกลงระหว่างเจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันในลักษณะใดที่จะถือว่าเป็นการตกลงแตกต่างไปจากที่กฎหมายกำหนดและมีผลทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะ ผู้เขียนเห็นว่าหลักการสำคัญที่จะนำมาใช้พิจารณาคือข้อตกลงใดๆ ในหนังสือค้ำประกันควรอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องรับภาระเกินสมควร ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการแก้ไขกฎหมายการค้ำประกันในครั้งนี้
พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
*********************************
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนอันเป็นความเห็นในทางวิชาการ และไม่ใช่ความเห็นของบริษัท อัลเลน แอนด์ โอเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผู้เขียนทำงานอยู่







