แนวคิดใหม่ของการเรียนภาษาอังกฤษ

ผมพบกับวิธีหนึ่งด้วยตัวเอง นั่นคือ การเรียนภาษาอังกฤษผ่านการแปล
วันนี้ผมต้องขออนุญาต กลับมาพูดถึงเรื่องการสอนภาษาอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เพราะยิ่งใกล้ AEC เข้ามาเท่าไหร่ ความรู้สึกที่กลัวว่าคนไทยจะสู้เขาไม่ได้ มันก็ยิ่งมากขึ้นๆ ทุกทีครับ หลายครั้งที่ผมได้เขียนเรื่องการพูดภาษาอังกฤษในคอลัมน์คนพันธ์ N นี้
แต่ที่ผ่านมา ผมมักจะพูดถึงสาเหตุที่ทำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักที ทั้งๆ ที่เรียนภาษาอังกฤษกันมานานนับสิบปี โดยถ้าจะให้สรุปเรื่องนี้กันง่ายๆ ก็สามารถสรุปได้เป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ ครับ คือ 1. ผู้สอนสอนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เทคนิคการสอน ตำราไม่ดี 2. ผู้เรียนไม่ตั้งใจเรียน ไม่ขวนขวาย ไม่ฝึกฝน แค่ 2 ประเด็นหลักๆ นี้แหละครับที่ทำให้เด็กไทยระดับมหาวิทยาลัยยังพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้เสียที วันนี้ผมจะไม่มาพูดถึงสาเหตุแล้วครับ ผมจะขอเสนอแนะ เสนอแนวคิดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้กับคนไทยบ้างครับ
หลายคนคงทราบดีว่า ผมเริ่มชีวิตการเป็นครูเมื่อเกือบ 15 ปีมาแล้ว เริ่มจากการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จนมาถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่เป็นรองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ม.เนชั่น อยู่ ผมก็ยังคงสอนพิเศษภาษาอังกฤษในช่วงวันหยุดอยู่ตลอด เพื่อไม่ให้ลืมความเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมเคยสอนให้กับมหาวิทยาลัยหลายต่อหลายแห่งครับ และผมก็คอยสังเกตอยู่เสมอครับว่าการสอนแบบไหนที่ทำให้เด็กพัฒนาภาษาอังกฤษได้ดี จนผมมาพบกับวิธีหนึ่งด้วยตัวเอง ซึ่งผมตั้งชื่อมันว่า Translation-Based English Learning (TraBEL) นั่นคือ การเรียนภาษาอังกฤษผ่านการแปล
ผมมักจะพูดกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่เสมอว่า “หากคุณจะทดสอบว่า คนคนหนึ่งสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีแค่ไหน คุณไม่ต้องนั่งคิดโจทย์อะไรให้ยากเย็นเลย แค่ยื่นกระดาษเปล่าและบทความดีๆ สักบท บอกให้เขาแปล แค่นั้น คุณจะเห็นความสามารถภาษาอังกฤษเขาอย่างดี” แต่มีอาจารย์ภาษาอังกฤษหลายท่านไม่เห็นด้วยกับผมเท่าไหร่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเคยออกข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษโดยให้นักศึกษาแปลประโยคจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ปรากฏว่าไม่ผ่านคณะกรรมการ เพราะไม่ใช่วิชาแปล ซึ่งผมก็ไม่เถียง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า มีนักเรียนกี่คนที่จะเรียนวิชาแปล และแบบทดสอบภาษาอังกฤษของคุณมันได้ผลจริงๆ หรือไม่
ข้อดีของการเรียนแปลคืออะไร ผมจบวิชาเอกด้านสาขาการแปลจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมีโอกาสได้สอนวิชาแปลอยู่หลายครั้ง สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นบ่อยที่สุด คือ นักเรียนเรียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นหลังจากได้เรียนวิชาแปล เพราะ นักเรียนจะต้องอ่านบทความภาษาอังกฤษหลายต่อหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจกับบทความให้ดีเสียก่อนที่จะแปล ต่างกับการเรียนการอ่านในวิชาภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอ่านเพื่อสอบหรือตอบคำถาม เพราะการเรียนการอ่าน สิ่งที่ได้คือ นักเรียนจะอ่านเพื่อหาคำตอบ แต่ไม่ได้พิเคราะห์อย่างละเอียดจริงๆ เหมาะสำหรับการสอบทำคะแนนครับ และสำหรับการแปลไทยเป็นอังกฤษนั้น นักเรียนที่เรียนแปลจะต้องเขียนประโยคภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง เขียนให้อ่านรู้เรื่องและสละสลวย ดังนั้น นักเรียนต้องเข้าใจโครงสร้างของประโยคอย่างลึกซึ้ง และสามารถแต่งประโยคขึ้นมาเองได้ นักเรียนที่เรียนแปลจึงต้องเข้าใจภาษาอังกฤษทุกบทและลืมไม่ได้สักบทที่เคยเรียนเพราะต้องนำมาใช้ในการแปลเกือบทุกชิ้นงานที่แปล
ดังนั้น การเรียนแปลจึงต่างกับการเรียนการสอนแบบทั่วๆ ไป ซึ่งมักจะสอนเป็นบทๆ เป็นเรื่องๆ เท่าที่ผมสอนมา นักเรียนจะมองไม่เห็นภาษาแบบมุมกว้าง เรียนบทหนึ่งก็จะจำได้แค่บทหนึ่ง พอเข้าบทใหม่ก็ลืมบทเก่า นักเรียนหลายคนจับมาประยุกต์ใช้ด้วยกันไม่เป็น เช่น วันนี้จะสอนเรื่อง Articles (a, an, the) แบบฝึกหัดที่นักเรียนจะได้ทำก็จะเป็น จำพวกเติมคำ เช่น Peter! I saw ____ cat you’re looking for yesterday. จะเห็นได้ว่า นักเรียนที่เรียนเรื่อง articles ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องแต่ก็เดาได้ ไม่เกิน 4 ตัวเลือกแน่ๆ คือ a, an, the หรือไม่ก็ไม่ต้องเติม เด็กก็เลยจะเดาในกรณีที่ไม่เข้าใจ เกรดของหลายๆ คนก็เลยมาจากการเดา
จริงๆ แล้ว แบบฝึกหัดเติมคำจะวัดได้แค่เรื่องเรื่องนั้น แต่ปัญหาของเด็กไทยคือการเข้าใจภาษาอังกฤษแบบมุมกว้าง ซึ่งถ้าไม่เข้าใจเด็กก็จะไม่สามารถเขียนประโยคหรือแต่งประโยคเองไม่ได้ มีเด็กหลายคนที่เติมคำได้ เลือก A B C D ได้ถูก แต่พูดไม่ได้ ใครที่อาจเถียงผมอยู่ ผมขอยกตัวอย่างที่ผมเห็นชัดๆ ก็คือเวลาที่นักเรียนมัธยมมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัย คะแนนภาษาอังกฤษจะได้สูงมาก โดยเฉพาะการพูดและฟัง แต่ให้พูดจริงๆ กลับพูดไม่ได้เลย เหตุผลก็คือ เด็กไม่ค่อยได้ฝึกแต่งประโยคหรือเขียนอะไรขึ้นเอง เด็กได้คะแนนพูดฟังเยอะ เพราะ ท่องบทพูดไปสอบกับครู ครูก็รู้ แต่นักเรียนพูดไม่ผิด ครูก็ไม่รู้จะหักคะแนนตรงไหนดี ก็เลยได้เกรด 4 แบบพูดอังกฤษไม่ได้เลย
ดังนั้น ผมจึงอยากเสนอการสอนการเรียนภาษาอังกฤษผ่านการแปล (Translation-Based English Learning) ไว้สักแนวคิดหนึ่ง เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับคนไทยที่อยากเก่งภาษาอังกฤษในอนาคตข้างหน้า การเรียนการสอนแบบนี้ผมกำลังพัฒนาให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นและเมื่อพัฒนาได้เมื่อไหร่ ผมจะนำมาเล่าให้ฟังกันอีกครับ




