เศรษฐกิจไทยปี 2558

มหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ได้ปิดฉากลงแล้วในวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมาภายหลังที่ขับเคี่ยวกันมายาวนานนับกว่า 10 วัน
ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับกองทัพนักกีฬาไทยที่ได้กวาดเหรียญทองให้ประเทศจำนวน 14 เหรียญ ทำให้ลำดับของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 6 ของเอเชีย รองลงมาจาก จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น คาซัคสถาน และ อิหร่าน และเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มประเทศอาเซียน มีหลายประเภทกีฬาที่มีผลงานประทับใจคนไทยแม้ว่าจะไม่ได้รับเหรียญทองก็ตาม อาทิเช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอลชาย/หญิง เกาหลีใต้ที่เป็นประเทศเจ้าภาพเองก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูพอสมควรสำหรับการบริหารจัดการ การทำหน้าที่ว่ามีการโกงการแข่งขันในหลายๆ ประเภทที่มีการตัดสินที่ค้านกับสายตาของผู้ชม แต่อย่างไรก็ตาม กีฬาก็คือกีฬาที่จะต้องมีการแพ้/ชนะ สิ่งหนึ่งที่ขอชื่นชมนักกีฬาไทยก็คือ สปิริต ของนักกีฬาไทยที่จะมีรอยยิ้มอยู่เสมอไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือชนะ ต่างจากนักกีฬาบางชาติที่ลงแข่งขันด้วยหน้าตาเครียดและดุดันเหมือนกับจะบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามให้เป็นผุยผงลงไป
เมื่อจบมหกรรมกีฬาก็คงกลับเข้าสู่โลกความเป็นจริง ที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเครียดกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ความหวังที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศเองได้ออกมายอมรับว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้เพียงร้อยละ 1.5 จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2 สอดคล้องกับธนาคารโลกที่มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจของปีนี้ลงมาจากระดับร้อยละ 2-2.5 ลงเหลือร้อยละ 1.5 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจไม่มีการปรับตัวขึ้นเลยเนื่องจากปัจจัยความไม่สงบทางการเมือง ส่วนในครึ่งปีหลังนั้นการฟื้นตัวไม่ฟื้นตัวสูงในระดับร้อยละ 4 ได้เนื่องจาก การส่งออก การใช้จ่ายของครัวเรือนและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ล่าสุดธนาคารโลกได้ปรับคาดการณ์อัตราการเศรษฐกิจไทยในปีหน้า (พ.ศ. 2558) ลงเหลือเพียงร้อยละ 3.5 (จากเดิมร้อยละ 4) และเป็นระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นธนาคารโลกก็ยอมรับว่ายังไม่ได้รวมเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ประกาศออกมาในช่วงต้นนี้เข้าไปด้วย ซึ่งเชื่อว่าหากรวมเอาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจนี้เข้าไปแล้วเศรษฐกิจไทยก็น่าจะเติบโตได้สูงถึงร้อยละ 4 ได้ การที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียนนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจเลย เพราะระดับการพัฒนาประเทศไทยได้ผ่านพ้นช่วงการเติบโตในอัตราสูงร้อยละ 7-8 มานานแล้ว ประเทศพม่า ลาวและ กัมพูชา เป็นประเทศที่ระดมทรัพยากรทั้งหมดมาทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูงได้ (จากฐานที่ต่ำมาก) เช่นเดียวกับประเทศจีนที่ภายหลังการเปิดประเทศการเปิดระบบเศรษฐกิจจึงทำให้เศรษฐกิจเติบโตในระดับเฉลี่ยร้อยละ 10 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างร้อนแรง ก่อนที่จะมีการปรับตัวชะลอช้าลงที่ในปัจจุบันมีการตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้าลงเหลือเพียงร้อยละ 7.5 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปีหน้านี้ คงไม่อาจจะหวังได้มากนักจากภาคต่างประเทศ เมื่อพิจารณาถึงอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าโดยรวม ดังที่เศรษฐกิจมหาอำนาจของโลก ทั้ง สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นยังเติบโตค่อนข้างอ่อนแอ กอปรกับปัญหาทางการเมืองที่มีอยู่ทั้งในยุโรปตะวันออกหรือตะวันออกกลาง ที่มีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงที่อาจจะขยายวงกว้างได้ตลอดเวลา รวมทั้งโรคระบาดอีโบลาที่ยังควบคุมไม่ได้จะทำให้ การค้าและการเดินทางท่องเที่ยวให้ชะงักงันลงได้
การหวังพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวไม่ได้มากนัก จึงควรเน้นที่การสร้างกำลังซื้อของประชาชนโดยรวม ที่น่าดำเนินการคือ การผลักดันราคาสินค้าเกษตร ทั้งข้าว ยางพารา ผลไม้และอื่นๆ ให้สูงขึ้นเพื่อยกระดับรายได้/กำลังซื้อของประชาชนโดยรวม เพราะตั้งยอมรับว่าการบริโภคของครัวเรือนในครึ่งหลังของปี 2557 ไม่ดีขึ้น เพราะการตกต่ำของราคาสินค้าเกษตรเกือบทุกประเภท นอกจากนี้แล้วรัฐบาลควรกระตุ้นด้วยการผลักดันการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานหลายเรื่องซึ่งสามารถดำเนินการได้เลย เช่น โครงการรถไฟรางคู่ การบริหารจัดการน้ำ หรือ ปรับปรุงระบบการคมนาคมขนส่ง ขนส่งมวลชน เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนค่าขนส่งเดินทาง และเพื่อเป็นฐานในการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชน
ด้วยการสนับสนุนของประชาชน ด้วยเงินงบประมาณที่มีอยู่และระบบการบริหารจัดการภายใต้รัฐบาลนี้ นอกจากสามารถทำได้อย่างรวดเร็วแล้วหากดูแลไม่ให้เกิดการรั่วไหล เชื่อว่ามีเม็ดเงินที่มากพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าสามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพในอัตราร้อยละ 4-5 ได้







