คนเก่ง - คนดี - คนที่มีประโยชน์

ในระบบการศึกษาที่เราเคยพบเห็น การจัดชั้นเรียนมักใช้การจำแนกตามผลการเรียนหรือผลการสอบเข้าของนักเรียนเป็นหลัก
กล่าวคือ ถ้าเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนหรือผลสอบเข้าระดับ “ท็อป” และมีความสามารถพิเศษติดตัวจะถูกจัดให้อยู่ในห้องเรียนที่เรียกว่าห้อง Gifted จากนั้นก็เป็นห้อง King ห้อง Queen ห้องธรรมดา ลดหลั่นกันลงไป
ในกลุ่มเด็กระดับท็อปซึ่งถูกแยกชั้นเรียนพิเศษนี้จะแวดล้อมไปด้วยเพื่อนที่เรียนเก่งในระดับเดียวกัน ครูอาจารย์ที่ถูกคัดเลือกมาเฉพาะ รวมไปถึง “โอกาส” ที่ดีกว่าเด็กในชั้นเรียนอื่น เช่น ทุนการศึกษา โอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมทักษะนอกโรงเรียน โอกาสขึ้นเวทีแสดงความสามารถต่างๆ ซึ่งการได้รับโอกาสเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อประสบการณ์และอนาคตภายภาคหน้าของเด็กๆ ผู้ปกครองทั้งหลายจึงขวนขวายเป็นพิเศษเพื่อผลักดันให้บุตรหลานของตนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่โอกาสเข้าถึงนั้น
“โอกาส” ไม่ได้แบ่งแยกความแตกต่างของเด็กสองคนในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังแบ่งแยกความแตกต่างของเด็กสองคนในอนาคตให้ยิ่งห่างออกจากกันเรื่อยๆ เด็กที่เก่งได้รับการสนับสนุนทางทรัพยากรต่างๆ อย่างเต็มที่ ถูกแยกออกไปต่างหากในโลกที่เด็กทั่วไปเข้าไปไม่ถึง อนาคตของเด็กเหล่านี้คือนักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ ครูอาจารย์ ผู้นำของสังคม ซึ่งเป็นยอดของพีระมิด ในขณะที่อนาคตของเด็กในห้องทั่วไปซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่จนคล้ายฐานพีระมิดแตกต่างออกไปจากนี้ สังคมถูกขับเคลื่อนด้วยคนเพียงจำนวนน้อยที่ถูกดูแลมาเป็นพิเศษ แวบหนึ่งที่พบว่าสภาพสังคมของเราอาจกำลังพัฒนาไปเป็นลักษณะที่ว่านี้ผมก็นึกไปถึง “อุตมรัฐ” ในหนังสือ The Republic ที่เพลโตเป็นผู้เขียนเมื่อสองพันสามร้อยกว่าปีก่อนว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก แต่สังคมที่ถูกขับเคลื่อนด้วยคนเพียงจำนวนน้อยจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ หรือ?
ความคิดของผมแตกต่างออกไปจากนั้น ผมกลับคิดว่าสังคมที่ดีคือสังคมที่บุคคลมีการพัฒนาความคิดและศักยภาพต่างๆ ในระดับทัดเทียมกัน บุคคลได้รับโอกาสในการพัฒนาอย่างเสมอภาคจนลุกขึ้นมามีความสามารถทัดเทียมกัน ก่อให้เกิดการแข่งขันเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคนเก่งหรือคนไม่เก่งจะต้องได้รับโอกาสทั้งสิ้น เพราะ “คนเก่ง” นั้นครั้งหนึ่งก็เคยพัฒนาตัวเองมาจากการเป็น “คนไม่เก่ง” มาก่อนเหมือนกัน
ทรรศนะของผมเกี่ยวกับการจัดการศึกษาจึงแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือควรจะลองให้คนไม่เก่ง ได้ผสมเข้ามาอยู่ในสังคมคนเก่งบ้าง ให้คนหมดแรงบันดาลใจเข้าไปอยู่กลางวงของคนที่มีแรงบันดาลใจ เพื่อให้อิทธิพลกลุ่มผลักดันคนไม่เก่งให้พัฒนาตัวเองมากขึ้น เพราะเป็นเรื่องยากที่จะเป็นคนหมดไฟหากได้คลุกคลีอยู่ในกลุ่มคนที่มีไฟ เป็นเรื่องยากที่จะความคิดตีบตันหากได้อยู่ในสังคมของคนที่ผลิตความคิดสู้กันตลอดเวลา และเป็นเรื่องยากเช่นกันที่จะคิดย่ำอยู่กับที่หากได้อยู่ในสังคมของคนที่มุ่งพัฒนาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ในความคิดที่แตกต่างนี้คนที่ไม่เก่งก็จะมีแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาและมีเวทีที่จะแสดงออก ส่วนคนที่เก่งอยู่แล้วก็จะได้ฝึกฝนในทักษะที่คนเก่งทั่วโลกกำลังขาดแคลนอย่างหนัก นั่นคือทักษะด้าน Coaching & Mentoring ผลคือได้พัฒนาควบคู่ไปด้วยกัน สังคมที่อุดมไปด้วยคนที่พัฒนาจนเป็นคนเก่งจำนวนมากจะมีความก้าวหน้ามากกว่าและเร็วกว่าสังคมที่ถูกผลักดันด้วยคนส่วนน้อยเท่านั้นแน่นอน
สังคมคนเก่งของผมจึงไม่ได้หมายถึงเพียงแค่คนที่เรียนเก่งหรือแม่นยำวิชาการเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสังคมของคนที่เป็นนักคิด นักปรับปรุง นักแสวงหา นักถ่ายทอด นักแบ่งปัน และนำความรู้ความสามารถที่มีมาใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของส่วนรวมมากกว่าการกอบโกยเฉพาะตัว
การเป็น “คนเก่งและคนดี” นั้นเป็นเรื่องที่ดีแน่นอนครับ แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือ “คนเก่งและคนดีที่ทำตนให้เป็นประโยชน์” ด้วยครับ







