สิทธิ ความเป็นแม่ อันเกี่ยวกับเด็กอุ้มบุญ

สิทธิ ความเป็นแม่ อันเกี่ยวกับเด็กอุ้มบุญ

การรับตั้งท้องหรือรับตั้งครรภ์แทน (Surrogacy) ที่กระทำกันส่วนใหญ่คือ การใช้เชื้อสเปิร์มของคู่สัญญาฝ่ายชาย

ฉีดเข้าผสมกับรังไข่ของฝ่ายหญิงผู้รับตั้งท้องแทน เมื่อปฏิสนธิเป็นทารก เจริญเติบโตในครรภ์ผู้รับตั้งท้องแทน และคลอดมาแล้ว ก็มอบเด็กทารกให้ผู้ขอให้ตั้งท้องแทน กับอีกกรณีคือการฉีดตัวอ่อนทารกที่ผสมและปฏิสนธิแล้วเข้าไปในครรภ์หญิงที่รับตั้งท้องแทน เมื่อเจริญเติบโตในครรภ์และคลอดเป็นทารกก็มอบทารกที่คลอดให้ผู้ขอให้ตั้งท้องแทน การรับตั้งท้องแทนส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างมีการทำสัญญาไว้เป็นหลักฐานด้วย

ไทยเรียกเด็กที่เกิดจากการรับตั้งท้องแทนว่า เด็กอุ้มบุญ เรียกหญิงที่รับตั้งท้องแทนว่า แม่อุ้มบุญ ฝรั่งเรียกว่า Surrogate mother ส่วนฝ่ายผู้ขอให้ตั้งท้องแทน ที่อยากมีบุตรฝรั่งเรียกว่า Intended parents ในที่นี้ขอเรียกว่าผู้ตั้งใจเป็นพ่อแม่ ในหลายประเทศถือว่าการรับตั้งท้องแทนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย สำหรับประเทศไทยก็มีการรับตั้งท้องแทนมานานหลายปีแล้ว มีทั้งที่รับทำโดยการช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนสนิท และที่เป็นการรับจ้างก็มี โดยยังไม่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับการรับตั้งท้องแทนกันออกใช้บังคับเป็นการเฉพาะ หากมีกรณีพิพาทถึงต้องฟ้องร้องกันคงมีปัญหาข้อกฎหมายตามมาไม่น้อย

สำหรับในต่างประเทศที่ที่มีการรับตั้งท้องแทนกัน ได้เกิดปัญหาพิพาทฟ้องร้องกันถึงสิทธิความเป็นพ่อแม่ ระหว่างแม่อุ้มบุญกับผู้ตั้งใจเป็นพ่อแม่คู่สัญญาของเด็กอุ้มบุญ ที่น่านำมาเป็นกรณีศึกษาคือ

คดี หนูน้อย M คดีนี้เกิดในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ.2530 เป็นคดีที่โด่งดังมากในช่วงนั้น นาง Mary Beth Whitehead ได้ทำสัญญาเป็นแม่อุ้มบุญกับนาย William และนาง Elizabeth Stern สามีภรรยา โดยใช้สเปิร์มของคู่สัญญาฝ่ายชายผสมเทียมกับไข่ของนาง Mary Beth Whitehead เมื่อตั้งครรภ์และคลอดทารกหนูน้อย M แล้ว นาง Mary Beth Whitehead เกิดความผูกพันกับเด็กทารกไม่ยอมมอบหนูน้อย M เด็กอุ้มบุญให้นาย William และนาง Elizabeth Stern ผู้ตั้งใจเป็นพ่อแม่คู่สัญญา นาย William และนาง Elizabeth Stern จึงฟ้องต่อศาลขอสิทธิเป็นผู้ปกครองเลี้ยงดูหนูน้อย M คดีนี้ศาลสูงแห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์พิพากษาสรุปได้ว่า สายเลือดย่อมข้นกว่าความผูกพันตามกระดาษสัญญา และพิพากษาว่าสัญญาอุ้มบุญที่ทำขึ้นระหว่างนาง Mary Beth Whitehead กับนาย William และนาง Elizabeth Stern ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลสูงได้ให้เหตุผลด้วยว่า รัฐบาลไม่สามารถออกคำสั่งบังคับให้แม่ที่มีความผูกพันและมีความรักในลูกของตน ต้องยกลูกของตนให้บุคคลอื่นได้ และยกคำขอของนาย William และนาง Elizabeth Stern ที่ขอเป็นผู้ปกครองเลี้ยงดูหนูน้อย M แต่สามารถไปเยี่ยมเยียนได้

อีกคดีเป็นคดีที่เกิดในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2536 ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่แตกต่างกลับกันกับคดีหนูน้อย M ก็คือ คดีระหว่าง Johnson และ Calvert มีข้อเท็จจริงโดยสรุปคือ นาย Mark และนาง Crispina Calwert ว่าจ้างให้ นาง Johnson ตั้งท้องตัวอ่อนทารกที่ปฏิสนธิจากสเปิร์มและไข่ของนาย Mark และนาง Crispina Calwert เมื่อคลอดทารกออกมาแล้ว นาง Johnson ยื่นฟ้องต่อศาลขอเป็นผู้ปกครองเลี้ยงดูทารกอุ้มบุญ ศาลสูงแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมติ 6 ต่อ 1 พิพากษาว่านาง Johnson ไม่มีสิทธิความเป็นแม่ต่อทารกอุ้มบุญนี้ โดยผู้พิพากษาเสียงข้างมากมีความเห็นว่า ไม่ใช่บทบาทและหน้าที่ของตุลาการในการยับยั้งไม่ให้ ผู้มีเจตนาเป็นพ่อแม่ในการใช้เทคโนโลยีสร้างสรรค์ในการให้กำเนิดบุตรอุ้มบุญขึ้น ในเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติเองก็มิได้ออกกฎหมายยับยั้งหรือห้ามไว้เช่นนั้น ขณะที่ผู้พิพากษาที่เป็นหญิงคนเดียวในองค์คณะและเป็นเสียงข้างน้อย ให้ความเห็นว่า หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สิ่งบรรจุทารกหรือเป็นสัตว์สำหรับขยายพันธุ์ แต่หล่อนเป็นผู้มีความรู้สึกนึกคิดที่ให้กำเนิดทารกอุ้มบุญไม่ด้อยกว่า ผู้เป็นแม่ทางพันธุกรรม

คดีขอใช้สิทธิความเป็นแม่ของเด็กอุ้มบุญลาหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง คดีนี้มีข้อเท็จจริงโดยสรุปคือ นาง D เป็นลูกจ้างของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอังกฤษ นาง D และสามีได้ทำสัญญาให้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์แทนโดยถูกต้องตามกฎหมายอังกฤษ เมื่อคลอดแล้ว ศาลอังกฤษโดยความยินยอมของแม่อุ้มบุญได้พิพากษาให้ นาง D และคู่ครอง เป็นผู้ใช้สิทธิความเป็นพ่อแม่เลี้ยงดูเด็กอุ้มบุญอย่างถาวร ส่วนนาง Z เป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน ไอร์แลนด์ นาง Z และสามีได้ไปทำสัญญาจ้างให้หญิงอุ้มบุญรับตั้งท้องตัวอ่อนแทนในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเด็กอุ้มบุญคลอดแล้ว โดยกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียถือว่า นาง Z และสามีเป็นพ่อแม่ของเด็กอุ้มบุญโดยสมบูรณ์

ทั้งนาง D และนาง Z ได้ยื่นขอใช้สิทธิลาหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง ทำนองเดียวกันกับมารดาเด็กลาคลอดเลี้ยงบุตรหรือผู้รับบุตรบุญธรรมลาหยุดเลี้ยงบุตร แต่ทางการของอังกฤษและไอร์แลนด์ที่รับผิดชอบปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าทั้งสองไม่เคยตั้งท้อง และก็ไม่มีการขอรับเด็กดังกล่าวเป็นบุตรบุญธรรม กรณีดังกล่าวถูกเสนอให้ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปพิจารณาให้ความเห็นว่า การที่ทางการปฏิเสธคำขอลาหยุดโดยได้รับค่าจ้างของนาง D และนาง Z ขัดต่อกฎหมายของสหภาพยุโรปหรือไม่ เป็นคดีที่ C-167/12C.D. และคดีที่ C-363/12Z

ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2557 วินิจฉัยว่า กฎหมายสหภาพยุโรปไม่มีบทบัญญัติ ให้แม่ของเด็กอุ้มบุญ สามารถใช้สิทธิหยุดงานโดยได้รับค่าจ้างทำนองเดียวกันกับแม่ลาคลอดบุตรเลี้ยงดูบุตร หรือผู้รับบุตรบุญธรรมลาเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม และก็ไม่สามารถนำมาข้อกำหนดเรื่องคนงานที่ตั้งครรภ์มาเทียบเคียงใช้ได้ เพราะวัตถุประสงค์ต่างกัน